ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย (HSBC) ร่วมกับสำนักงาน คณะกรรมการนโยบายเขต พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (True IDC) อัปเดตทิศทางและโอกาสของไทยในการเป็นหนึ่ง ในศูนย์กลาง Data center ของอาเซียน รวมถึงกลยุทธ์การต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่า ทางเศรษฐกิจใหม่
จอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึง แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ว่าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยไทยกำลังกลายเป็นหนึ่ง ในศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ แห่งใหม่ของอาเซียน ถัดจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งเริ่มมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ และซัพพลายไฟฟ้า ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม หันมาลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ของตัวเองในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก (hyperscalers)
สะท้อนจากข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้น 139% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.06 ล้านล้านบาท (ประมาณ 32.5 พันล้านดอลลาร์) แบ่งเป็น
- 522.6 พันล้านบาท มาจากโครงการในภาคดิจิทัล ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า
- 521.2 พันล้านบาท มาจากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เพียงอย่างเดียว จากทั้งหมด 28 โครงการ
สำหรับจุดแข็งของประเทศไทย ที่ดึงดูดการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์
มีด้วยกัน 8 ข้อดังนี้
- โครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไฟฟ้าที่แข็งแกร่ง (Electrical infrastructure)
- ความเร็วอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยอยู่ใน Top 10 ของโลก
- เครือข่าย 5G ของประเทศไทยครอบคลุมประชากรกว่า 89% สูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน
- ความต้องการการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
- ทำเลที่ตั้งใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ต้นทุนการก่อสร้างและดำเนินงานธุรกิจในระดับต่ำที่แข่งขันได้
- สิทธิประโยชน์จาก BOI / พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน
ด้วยศักยภาพเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่แข็งแกร่ง ทำให้ตอนนี้ HSBC มีลูกค้าศักยภาพหลายรายที่ต้องการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย โดยมีแผนการลงทุนจริง ในระยะยาว ไม่ใช่ลูกค้าที่เข้ามาเก็งกำไรแบบฉาบฉวย โดยลูกค้าส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า hyperscalers และธุรกิจแพลตฟอร์ม ทั้งที่ลงทุนในเขต EEC อยู่แล้ว และนักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจับคู่ธุรกิจ
EEC คัดนักลงทุนเข้ม มั่นใจ Data Center ไทยได้มากกว่าเสีย
ก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขต พัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ตอบข้อสงสัยของสังคม ที่กังวลว่า การลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย เพื่อหวังดึงดูด FDI และองค์ความรู้เทคโนโลยีขั้นสูง อาจได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบสามารถทำงานได้เองอัตโนมัติ ใช้คนดูแลน้อย จึงเกิดการจ้างงานน้อยตาม แลกกับการใช้ทรัพยากรมหาศาลทั้งที่ดิน ไฟฟ้า และน้ำ เพื่อสร้างศูนย์หนึ่งศูนย์
ก่อกิจ มองว่า การประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ ต้องมองให้ไกลไปกว่าการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร สิ่งที่ควรโฟกัสและช่วยกัน ผลักดัน คือ จะทำอย่างไรให้ประเทศไทย เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ทรงอิทธิพลอย่าง Tiktok ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันต่อยอดองค์ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับดาต้าเซ็นเตอร์ พัฒนาธุรกิจภาคบริการ ยกระดับเศรษฐกิจไทย สู่เศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งนี้ EEC มีเกณฑ์การประเมินใบอนุญาตการลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ และการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เข้มงวดอยู่แล้ว โดยจะประเมินจากมูลค่าการลงทุนจริง ว่าการลงทุนนั้นสร้างประโยชน์ให้เศรษฐกิจไทยมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนการจ้างงาน การใช้ทรัพยากรในประเทศ เพื่อสร้างศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ทำให้แต่ละบริษัทได้สิทธิประโยชน์ไม่เท่ากัน แม้จะประกอบธุรกิจประเภทเดียวกัน
ปัจจุบัน มีธุรกิจเพียง 17 ราย จาก 50 ราย ที่ได้รับการอนุมัติโควต้าใช้ไฟฟ้า
รวมทั้งสิ้น 5,000 เมกะวัตต์ แม้จะมีคำขอรับการสนับสนุนจำนวนมาก แต่หลังทำการ ตรวจสอบ คุณสมบัติอย่างละเอียด พบว่า ส่วนใหญ่เป็น Fake Demand หวังล็อกโควต้าการใช้ไฟฟ้า เพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่ยังไม่มีที่ดินเพื่อสร้างศูนย์
สำหรับมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่สามารถประเมินได้จาก
ต้นทุนก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ เฉพาะโครงสร้างพื้นฐานอยู่ที่ 6 ล้านดอลลาร์ ต่อเมกะวัตต์ เมื่อรวมกับ GPU จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเป็น 30 ล้านดอลลาร์ ต่อเมกะวัตต์
ไทยสมมง Data Center Hub กุญแจสู่ New S-Curve
ฐนสรณ์ ใจดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (True IDC) ผู้นำในการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และระบบคลาวด์ กล่าวถึง การต่อยอดโอกาส ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ด้วยการวางรากฐานดาต้าเซ็นเตอร์ โดยมองว่า การเป็นศูนย์กลาง ดาต้าเซ็นเตอร์ของภูมิภาค สร้างประโยชน์ทางตรงมากมาย แต่ยังมีประโยชน์ทางอ้อมที่หลายคนคาดไม่ถึง คือ การพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องเช่น ที่ดิน พลังงานสะอาด แต่สิ่งที่สำคัญ ที่ไทยจะนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจได้ คือ skillset ที่เกี่ยวข้องดาต้าเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น ทักษะวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่องกล ระบบความปลอดภัย หรือ AI Developer
การมีองค์ความรู้ทั่วโลก มาเก็บไว้ในประเทศ รวมถึงองค์ความรู้เฉพาะในไทย หากมีการจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างโมเดล AI เพื่อให้เด็กไทยเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ขั้นสูงเหล่านี้ได้ ประกอบกับ ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาคการศึกษาช่วยสร้างแรงจูงใจให้เด็กไทยเป็นนักสร้างนวัตกรรมให้กับประเทศ มากกว่าเป็นผู้ใช้นวัตกรรม
ทั้งนี้การเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ จะช่วยเพิ่มโอกาสประเทศไทย ในการต่อยอดนวัตกรรม สร้าง New S-Curve ให้กับเศรษฐกิจ
ภาพ: Gorodenkoff / Shutterstock


