ภายหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย ได้แสดงจุดยืนด้านเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 5 แนวนโยบายหลัก ได้แก่
- การสร้างรายได้และลดรายจ่ายในชีวิตประจำวัน
- การแก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง
- การส่งเสริมการออมของประชาชนรายย่อย
- การฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยว
- การรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้า
สำหรับหนึ่งในมาตรการที่มีความพร้อมในการดำเนินการทันที คือ โครงการคนละครึ่ง พลัส และการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการเดิมในยุครัฐบาลก่อน โดยใช้งบประมาณราว 66,000 ล้านบาท ครอบคลุมประชาชนกว่า 20 ล้านคน ทั้งในและนอกระบบภาษี รวมถึงร้านค้าปลีก SME ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ โครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2568 ซึ่งตรงกับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และคาดว่าจะช่วยกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.20 – 0.30% โดยตรงผ่านการเพิ่มกำลังซื้อและการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว รัฐบาลยังได้ออกมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ โดยอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายจากการเดินทางมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 20,000 บาทต่อคน โดยเมืองหลักสามารถหักได้ไม่เกิน 1 เท่า ส่วนเมืองรองหักได้ไม่เกิน 1.5 เท่า ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 29 ตุลาคม ถึง 15 ธันวาคม 2568 ตรงกับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มการเข้าร่วมสูง
นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมโครงการอื่นๆ และมาตรการอื่นๆ ที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพในระยะสั้น เช่น การขยายโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (สายสีม่วงและแดง) ถึงเดือน พฤศจิกายน การลดราคาน้ำมันลง 50 สตางค์ต่อลิตร ผ่านการปรับลดอัตราสมทบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ รัฐบาลมีแผนแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการคัดกรองลูกหนี้รายย่อยของธนาคารรัฐ และการจัดตั้ง AMC เพื่อบริหารหนี้ รวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs ผ่าน บยส. และการส่งเสริมการออมของประชาชนรายย่อยผ่านพันธบัตรรัฐบาลและสลากออมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังมีแนวทางส่งเสริมความยั่งยืน เช่น การลดผลกระทบจากสงครามการค้า การเจรจาดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น Data Center, EV, พลังงานสะอาด และการจัดตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแรงงานผ่านการ Re-skill ร่วมกับภาคเอกชน
ทั้งนี้ แม้รัฐบาลปัจจุบันจะมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือนก่อนการประกาศยุบสภาที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือน มกราคม 2569 แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่สามารถดำเนินการได้ทันที เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส มาตรการท่องเที่ยว และการลดค่าครองชีพ จะส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและการลดภาระค่าใช้จ่ายจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งส่งผลต่อยอดขายของธุรกิจและคุณภาพสินเชื่อจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ดีขึ้น เมื่อประกอบกับปัจจัยมหภาคอื่น เช่น การเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง และฤดูกาลจับจ่ายช่วงสิ้นปี
ทาง บลจ. ไทยพาณิชย์ มองว่าตลาดหุ้นไทยจะยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม ความผันผวนยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะจากความเสี่ยงของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ภาพ: Krongkaew/ Getty Images