×

‘สนามแข่งขันที่เท่าเทียม’ เสียงจากญี่ปุ่นในสมรภูมิ EV และเดิมพันอนาคตเศรษฐกิจไทย

18.10.2025
  • LOADING...

ภาพรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ป้ายแดงจากค่ายจีนที่วิ่งขวักไขว่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ กลายเป็นภาพชินตาที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างรวดเร็วและทรงพลัง ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่เทรนด์ของผู้บริโภค แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ที่สั่นสะเทือนไปถึงนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดและยาวนานที่สุดของเราอย่าง ‘ญี่ปุ่น’

 

ย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1980-1990 ที่ประเทศไทยเปิดประตูต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติ ญี่ปุ่นคือหัวหอกสำคัญที่นำพาทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ เข้ามาปักหลักในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) ซึ่งเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมให้กลายเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ยุคนั้นคือ ‘ยุคทอง’ ที่ญี่ปุ่นได้วางรากฐานอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ สร้างระบบนิเวศซัพพลายเชนที่ซับซ้อนและแข็งแกร่ง จนทำให้ไทยได้รับสมญานามว่า ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ สร้างงานนับล้านตำแหน่ง และผลักดันให้เกิดชนชั้นกลางกลุ่มใหญ่ในสังคม

 

แต่ในวันนี้ เมื่อโลกหมุนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ภูมิทัศน์การแข่งขันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กระแสความยั่งยืน สงครามการค้า และการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ถาโถมเข้ามาเป็นความท้าทายระลอกใหม่ คำถามสำคัญที่ดังก้องอยู่ในใจของนักลงทุนญี่ปุ่นและผู้กำหนดนโยบายไทยคือ “เราจะไปทางไหนกันต่อ?”

 

‘สนามแข่งขันที่เท่าเทียม’ เสียงจาก ญี่ปุ่นในสมรภูมิ EV และเดิมพันอนาคตเศรษฐกิจไทย 1

 

ในการสนทนาพิเศษกับ ฯพณฯ โอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในรายการ THE WORLD DIALOGUE เราได้เห็นภาพความกังวล ความคาดหวัง และข้อเสนอที่ชัดเจน จากพันธมิตรทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของไทย ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

 

รากฐานที่มั่นคงในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม

 

ข้อมูลจากทั้งองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ล้วนยืนยันสถานะของญี่ปุ่นในฐานะนักลงทุนอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเม็ดเงินลงทุนสะสมหลายล้านล้านบาทและบริษัทญี่ปุ่นกว่า 6,000 แห่งที่ดำเนินกิจการในไทย ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากสิ่งที่ท่านทูตโอตากะเรียกว่า ‘ความไว้วางใจและความเข้าใจ’ ที่หยั่งรากลึก

 

“ปัจจัยสำคัญคือความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างญี่ปุ่นกับไทยที่ย้อนกลับไปได้ถึงสมัยอยุธยา ความไว้วางใจและความเข้าใจคือรากฐานสำคัญที่ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแท้จริงครับ”

 

รากฐานที่แข็งแกร่งนี้คือภูมิคุ้มกันที่ทำให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจรอดพ้นจากวิกฤตมาได้หลายครั้ง แต่ความท้าทายในปัจจุบันแตกต่างออกไปคือ การเปลี่ยนแปลงเชิงเทคโนโลยีที่พลิกโฉมอุตสาหกรรม (Game Changer) อย่างการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าจีน ซึ่งท่านทูตยอมรับว่าเป็นสถานการณ์ที่ ‘ซับซ้อนอย่างมาก’ แม้จะเป็นเทรนด์แห่งอนาคต แต่ก็เต็มไปด้วยโจทย์ที่ยังไม่มีคำตอบ ทั้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน แหล่งที่มาของไฟฟ้าที่ต้องเป็นพลังงานสะอาดจริงๆ และมูลค่าในตลาดรถมือสองที่ยังคลุมเครือ

 

ขณะเดียวกันท่านทูตชี้ให้เห็นถึง ‘มรดกทางอุตสาหกรรม’ ที่ไทยไม่ควรมองข้าม นั่นคือการเป็น หนึ่งในศูนย์กลางการส่งออกรถกระบะที่สำคัญที่สุดในโลก ซึ่งเทคโนโลยี EV ในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของรถกระบะได้อย่างเต็มที่ทั้งในด้านราคาและประสิทธิภาพ นี่คืออุตสาหกรรมที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยมหาศาลและยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันต่อไป

 

‘สนามแข่งขันที่เท่าเทียม’ เสียงจาก ญี่ปุ่นในสมรภูมิ EV และเดิมพันอนาคตเศรษฐกิจไทย 2

 

หัวใจของข้อเรียกร้อง: ‘A Level Playing Field’

 

เมื่อถูกถามถึงการแข่งขันที่ดุเดือดจากรถ EV จีน ท่านทูตไม่ได้แสดงความกังวลต่อตัวผลิตภัณฑ์ แต่ได้เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญที่ญี่ปุ่นเรียกร้องจากรัฐบาลไทยอย่างหนักแน่นนั่นคือ สนามแข่งขันที่เท่าเทียม (A Level Playing Field)

 

“สิ่งสำคัญคือการสร้างการแข่งขันที่เท่าเทียม ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก รถสันดาปและไฮบริดที่ผลิตในไทยก็ยังมีตลาดและบทบาทในสังคม ดังนั้นทุกธุรกิจต้องแข่งขันภายใต้กติกาเดียวกัน”

 

‘สนามแข่งขันที่เท่าเทียม’ ในความหมายของท่านทูตไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องภาษีนำเข้าที่แตกต่างกันระหว่างรถนำเข้ากับรถที่ผลิตในประเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงมาตรฐานทุกด้าน โดยเฉพาะ ‘มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงาน’ ทุกบริษัทไม่ว่าจะมาจากชาติใดหรือผลิตรถยนต์ประเภทใด จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานเดียวกันและลงทุนเพื่อให้ได้มาตรฐานนั้นอย่างเท่าเทียมกัน

 

นี่คือเสียงสะท้อนที่ลึกซึ้งกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของค่ายรถญี่ปุ่น แต่คือการปกป้องระบบนิเวศอุตสาหกรรมทั้งหมดที่ ‘สร้างโดยคนไทย’ ดังที่ท่านทูตกล่าวไว้ รถยนต์ทุกคันที่ออกจากสายการผลิตในโรงงานญี่ปุ่นคือผลผลิตจากแรงงานไทย ช่างเทคนิคไทย และชิ้นส่วนจากผู้ประกอบการ SME ไทยอีกหลายร้อยหลายพันราย การปล่อยให้รถยนต์นำเข้าที่ไม่ได้มีส่วนในการสร้างงานหรือพัฒนาซัพพลายเชนในประเทศเข้ามาแข่งขันโดยมีแต้มต่อ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อรากฐานอุตสาหกรรมที่ไทยสร้างสมมานาน

 

ความกังวลที่ลึกกว่าแค่เรื่องรถยนต์

 

นอกเหนือจากสมรภูมิยานยนต์ ท่านทูตโอตากะยังได้ฉายภาพความกังวลเชิงโครงสร้าง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทั้งญี่ปุ่นและไทยกำลังเผชิญร่วมกัน

 

1. ทิศทางอนาคตในโลกที่แบ่งขั้ว: ในยุคที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนทวีความรุนแรงและกระแสปกป้องทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น คำถามที่ท่านทูตย้ำคือ “เราจะไปทางไหนกันต่อ?” การเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกจะซับซ้อนกว่าเดิมมาก ไทยจะวางตำแหน่งตัวเองอย่างไร จะผลิตสินค้าอะไรเพื่อเจาะตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ที่มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนเข้มข้นขึ้น นี่คือความไม่แน่นอนที่นักลงทุนญี่ปุ่นกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด

 

2. ระเบิดเวลาที่ชื่อ ‘สังคมผู้สูงอายุ’: โครงสร้างประชากรไทยที่คล้ายคลึงกับญี่ปุ่นคือความท้าทายใหญ่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งตลาดแรงงานและกำลังซื้อในประเทศ ท่านทูตแบ่งปันบทเรียนราคาแพงของญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจชะลอตัวยาวนาน (Lost Decades) ส่วนหนึ่งเพราะปัญหานี้ การมีคนรุ่นใหม่น้อยลงไม่เพียงทำให้ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังหมายถึงตลาดในประเทศที่หดตัวลง ซึ่งจะบั่นทอนความแข็งแกร่งของฐานการผลิตที่เคยพึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นฐานสำคัญ

 

3. การรักษาขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์: แม้ไทยจะมีบุคลากรที่มีคุณภาพ แต่การรักษามาตรฐานการศึกษาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งระดับค่าจ้างที่สมดุลและแข่งขันได้ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนระยะยาว

 

ข้อเสนอเพื่อ ‘ยกเครื่อง’ ความร่วมมือสู่ยุคใหม่

 

ท่ามกลางความท้าทาย ญี่ปุ่นไม่ได้เพียงแค่นั่งรอ แต่ได้ยื่นข้อเสนอเชิงรุกเพื่อปรับรูปแบบความร่วมมือกับไทยให้ก้าวทันโลก

 

  • พัฒนาทักษะแรงงานด้วยระบบ ‘โคเซ็น’ (Kosen): ญี่ปุ่นกำลังสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่แค่การเรียนทฤษฎีในห้องเรียน แต่คือการลงมือปฏิบัติจริงในโรงงานจำลอง เพื่อผลิต ‘วิศวกรนักปฏิบัติ’ ที่มีทักษะพร้อมทำงานได้ทันที ตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุค 4.0

 

  • มองหาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต: ท่านทูตมองว่าความร่วมมือจะขยายไปสู่ เทคโนโลยีชีวภาพ ที่เชื่อมโยงกับจุดแข็งของไทยด้านความหลากหลายทางชีวภาพ, เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG, อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแม้กระทั่ง ความร่วมมือด้านอวกาศ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าญี่ปุ่นพร้อมที่จะร่วมบุกเบิกเส้นทางใหม่ๆ กับไทย

 

  • ก้าวสู่ความเป็นสากล (Cosmopolitan): เพื่อรับมือกับภาวะขาดแคลนแรงงาน ท่านทูตเชื่อว่าทั้งสองประเทศต้องเปิดรับองค์ความรู้และบุคลากรจากต่างชาติมากขึ้น เพื่อความอยู่รอดและการเติบโตในระยะยาว

 

บทสรุปจากการสนทนาครั้งนี้ชัดเจนว่า ยุคทองของการลงทุนญี่ปุ่นที่เน้นใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกในรูปแบบเดิมอาจกำลังเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นในอนาคตไม่ได้อยู่แค่บนสายพานการผลิตรถยนต์ แต่กำลังอยู่บนทางแพร่งที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาผลประโยชน์ระยะสั้นจากการบริโภคสินค้านำเข้าราคาถูก กับการวางรากฐานระยะยาวที่ยั่งยืนผ่านการแข่งขันที่เป็นธรรม การยกระดับทักษะแรงงาน และการร่วมมือกันสร้างอุตสาหกรรมใหม่

 

นี่คือเดิมพันครั้งสำคัญที่คำตอบไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่น แต่อยู่ที่การตัดสินใจเชิงนโยบายของประเทศไทย ว่าเราจะกำกับ ‘สนามแข่งขัน’ นี้อย่างไรเพื่อรักษาพันธมิตรเก่าแก่ไปพร้อมกับการต้อนรับผู้เล่นหน้าใหม่ และนำพาเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวข้ามความท้าทายแห่งศตวรรษที่ 21 ไปได้อย่างมั่นคง

 

ติดตามบทสัมภาษณ์แบบเต็มๆ ได้ในรายการ THE WORLD DIALOGUE: เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ถอดบทเรียน Lost Decade ชี้ทางรอดเศรษฐกิจไทยในวิกฤตโลก | THE WORLD DIALOGUE #12

 

 

เพื่อให้เข้าใจมุมมองญี่ปุ่นอย่างเจาะลึกเกี่ยวกับการลงทุนในไทย THE STANDARD ECONOMIC FORUM ปีนี้เราร่วมมือกับ Nikkei Asia สื่อชั้นนำในระดับภูมิภาค ในการจัดการเสวนาเพื่อรับฟังวิสัยทัศน์การลงทุนของญี่ปุ่นในไทยและอาเซียน โดยปีนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน ที่พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

 

ซื้อบัตรได้ที่: THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 : Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising