โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ รอบนี้ จะมีการเปิดลงทะเบียน ‘ผู้ประกอบการด้านขนส่งสาธารณะ’ ที่มีสัญชาติไทยและไม่ใช่นิติบุคคลด้วย เช่น ผู้ขับ TAXI ผู้ประกอบการรถตู้ รถสามล้อ รถสองแถวรับจ้าง และรถจักรยานยนต์รับจ้างด้วย!
โดยหลักเกณฑ์ ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ ที่เข้าร่วมได้ มีดังนี้
- ผู้ประกอบการประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน (TAXI – METER) รถตู้โดยสารประจำทางที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รถยนต์สามล้อสาธารณะ รถสองแถวรับจ้าง และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ทั้งนี้ ผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่รถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย
- ผู้ประกอบการรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารที่สามารถตรวจสอบได้ เช่น สามล้อถีบ เป็นต้น
- เป็นผู้ประกอบการด้านขนส่งมวลชนสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟ รถโดยสารประจำทางสาธารณะ และเรือโดยสารสาธารณะ
สำหรับการลงทะเบียน จะเปิดลงทะเบียนผู้ประกอบการในวันพุธที่ 15 ตุลาคม 2568 จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง:
- เปิดวิธีลงทะเบียน ‘คนละครึ่ง พลัส’ ทั้งร้านค้าใหม่-ร้านค้าเดิม วันแรก 15 ตุลาคมนี้ ทำอย่างไรบ้าง?
- สรุปที่เดียวจบ! ทุกรายละเอียด ‘คนละครึ่ง พลัส’ และ ‘โครงการเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ลงทะเบียนอย่างไร เมื่อไหร่?
กระทรวงการคลังตั้งเป้าดึงร้านค้าลงทะเบียนไม่ต่ำกว่า 9 แสนราย
วันนี้ (15 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า โครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ เปิดลงทะเบียนให้แก่ผู้ประกอบการร้านค้าและบริการ รวมถึงผู้ให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะแล้วตั้งแต่วันนี้
สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง เฟส 5’ สามารถอัพเดตแอปถุงเงิน และกดยืนยันสิทธิ์ได้เลย เพราะมีข้อมูลตรงกับที่ระบบกรุงไทยเคยตรวจสอบไว้
ส่วนร้านค้าที่ยังไม่เคยลงทะเบียน สามารถทำได้โดยดาวโหลด เอกสารจากเว็บไซต์คนละครึ่ง พลัส จากนั้น นำบัตรประจำตัวประชาชน และรูปถ่ายร้านค้า ไปยืนยันตัวตนที่สำนักงานเขต หรือกระทรวงมหาดไทย ถ้าอยู่ต่างจังหวัด หรือไปที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา ซึ่งจะรู้ผลภายใน 3 วัน
ในกรณีที่เป็นผู้ให้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะ ดร.เอกนิติระบุว่า หากมีใบขับขี่สาธารณะถูกต้อง ก็สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้เลย เพราะโครงการได้เชื่อมโยงข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมไว้แล้ว
ทั้งนี้ ประชาชนทั่วไปจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 20-26 ตุลาคม และเริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม
ดร.เอกนิติเผยว่า จากฐานข้อมูลร้านค้าเดิม พบว่า มีร้านค้าอยู่ราว 9 แสนรายในระหว่างโครงการ คนละครึ่ง เฟส 5 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวโครงการห่างหายไปนาน ทำให้ปัจจุบันจึงเหลือผู้ประกอบการที่ยังแอคทีฟอยู่เพียงเกือบ 1 แสนรายเท่านั้น
สำหรับโครงการ คนละครึ่ง พลัส ทางดร.เอกนิติ ตั้งเป้าให้มียอดลงทะเบียนร้านค้าให้สูงกว่ายอดเดิมที่ 9 แสนราย โดยจะมีการพลัสให้ธุรกิจ นิติบุคคล ผู้ประกอบการร้านค้ารายเล็กรายย่อยที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท เข้าร่วมโครงการได้ แต่ไม่อนุญาตให้โมเดิร์นเทรดเข้าร่วม
ยันข้อมูลระบบปิด ไม่เข้ากรมสรรพากร
เมื่อถูกถามว่า ข้อมูลการค้าขายจะถูกดึงเข้าระบบสรรพากรหรือไม่ ทางดร.เอกนิติ ยืนยันว่า ข้อมูลการค้าขายตลอดโครงการคนละครึ่ง พลัส จะมีความปลอดภัยอย่างมาก เพราะเป็นระบบปิด ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงจะไม่มีการเผยแพร่ให้หน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่กรมสรรพากร
ดร.เอกนิติ ระบุว่า ไม่อยากให้ผู้ประกอบการร้านค้าต้องกังวลเรื่องการจัดเก็บภาษี เนื่องจากการเสียภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้อยู่แล้ว และอยากให้โฟกัสไปยังยอดขายที่จะมากขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส แทน
“ร้านค้ายอดขายมากขึ้น อย่าไปกังวลเรื่องภาษีเลยครับ” เอกนิติกล่าว “ผมว่าเป็นหน้าที่ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เมื่อมีรายได้ต้องเสียภาษี แต่ข้อมูลคนละครึ่ง พลัส มั่นใจได้ว่าแม้แต่กรมสรรพากรก็ไม่สามารถมาเอาข้อมูลนี้ได้”
เตรียมจัดหลักสูตรออนไลน์ Up-skill พ่อค้าแม่ค้า
ดร.เอกนิติระบุว่า จะมีหลักสูตรสอนจัดทำบัญชีในแอปฯถุงเงิน เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถจัดทำบัญชีได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้ธนาคารสามารถอนุมัติปล่อยกู้ได้สะดวกขึ้น และช่วยลดปัญหาขาดสภาพคล่อง หมดกังวลปัญหาหนี้นอกระบบ
นอกจากนี้ ดร.เอกนิติ ยังระบุอีกด้วยว่าได้มีการหารือกับแพลตฟอร์มเดลิเวอรี 4-5 ราย ในการจัดทำหลักสูตรขายของออนไลน์ เพื่อช่วยพ่อค้าแม่ค้าขยายตลาดได้มากขึ้นเป็นที่เรียบร้อย พร้อมช่วยลดค่า GP ซึ่งจะต้องพูดคุยรายละเอียดอีกที
เชื่อคนละครึ่ง พลัส ช่วยฟื้นเศรษฐกิจติดลบในไตรมาส 4
ทั้งนี้ ดร.เอกนิติ เชื่อว่า จากวงเงินที่รัฐสมทบ 44,000 ล้านบาท และเงินจากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอีก 44,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเป็น 88,000 ล้านบาท จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นจากการติดลบในไตรมาส 4 ได้ เนื่องจากผู้คนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และมีการจัดทำบัญชีถูกต้อง รวมถึงมีการค้าขายออนไลน์กันมากขึ้น