SCB EIC ชี้ ปีหน้าเศรษฐกิจเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน พร้อมมองนโยบาย ‘Quick Big Win’ อาจช่วยประคองระยะสั้น แต่ ‘Win’ หรือ Structural Reform จำเป็นต้องมีการวางรากฐานเพื่อส่งต่อรัฐบาลถัดไป ด้านความเสี่ยงทางการคลังกดดันจากการปรับลด Outlook ของ Credit Raters ชี้ไทยเสี่ยงชนเพดานหนี้ 70% แม้ไม่ทำอะไรเลย
ดร. ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning WEalth เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/2568 และการคาดการณ์ไปจนถึงปี 2567 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ New Normal หรือสภาวะที่ความไม่แน่นอนและความผันผวนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น SCB EIC ยังคงประมาณการเติบโตของ GDP ปี 2566 ไว้ที่ 1.8% แต่มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 จะชะลอตัวลงอย่างมาก รัฐบาลคาดการณ์ว่าไตรมาส 4 ปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตได้เพียง 0.3-0.4% เท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับที่ SCB EIC มองว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ในระดับต่ำขณะที่ในปี 2569 SCB EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงไปอีกเหลือเพียง 1.5% โดยมีความกังวลค่อนข้างสูง
เนื่องจากในช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ แต่ยังพอมีพระเอก เช่น การส่งออกที่ดี หรือการบริโภคเอกชนที่เคยเติบโตสูงถึง 6-8% แต่สำหรับปีหน้า หลายตัวชี้วัดหรือไดรเวอร์ของเศรษฐกิจไทยเริ่มแผ่วลงไปทั้งหมด ทำให้เศรษฐกิจปี 2568 มีโอกาสไร้พระเอก
แรงกดดันจากส่งออกชะลอตัว และรายได้ครัวเรือนลดลง
สาเหตุสำคัญของการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า มาจาก 2 ปัจจัยหลัก
1. การส่งออกที่ชะลอลงชัดเจน ในช่วงครึ่งปีแรก การส่งออกไทยเติบโตได้ดีถึง 13.3% year to date แต่กว่าครึ่งของการเติบโตนี้มาจากสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยังไม่โดนเรียกเก็บภาษี อย่างไรก็ตาม สัญญาณการชะลอตัวเริ่มเห็นตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมเติบโตเพียง 12.8% แต่เมื่อหักสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไม่โดนภาษีออกไป ตัวเลขการส่งออกรวมเริ่มติดลบแล้ว ทำให้ SCB EIC คาดว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้การส่งออกจะชะลอลงอย่างมาก
2. ความเปราะบางของภาคแรงงานและรายได้ครัวเรือน การบริโภคเอกชนมีโอกาสเติบโตต่ำลงในปีหน้า เนื่องจากความเปราะบางเริ่มลามเข้าสู่ภาคแรงงานอย่างชัดเจน จากปัจจัยดังนี้
ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของแรงงานในทุกภาคส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง
- รายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยลดลง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าตกใจเพราะหลายปีที่ผ่านมา รายได้ครัวเรือนไทยโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
- การลดลงของชั่วโมงการทำงานและรายได้นี้ สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสแผ่วลงจากกำลังการบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงตามไปด้วย
จับตานโยบายรัฐบาลใหม่ Quick Big Win
แม้ว่าเศรษฐกิจจะเผชิญความท้าทายรอบด้าน แต่ภาคเอกชนมองว่า ภาครัฐยังเป็นหนึ่งในความหวังที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจในปีหน้า นโยบายที่ถูกแถลงออกมาถือว่ามีเจตนาที่ดี และเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
รัฐบาลใหม่มีงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาท โดยในช่วง 3 เดือนแรกมีการใช้จ่ายงบประมาณไปแล้วประมาณ 70,000 ล้านบาท
- Quick หมายถึงการกระตุ้นระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่ง และการเติมเงินในบัตรสวัสดิการ ซึ่งคาดว่าจะมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 60,000-70,000 ล้านบาท นโยบาย Quick นี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.3-0 4% ซึ่ง SCB EIC ได้รวมไว้ในประมาณการเศรษฐกิจแล้ว อย่างไรก็ตาม งบประมาณส่วนใหญ่นี้เป็นการ ‘ยกงบมาใช้’ (งบประมาณเก่าที่เปลี่ยนโครงการ) ไม่ใช่เงินใหม่ ทำให้ผลทางเศรษฐกิจอาจมีจำกัด
- Big หมายถึงการกระตุ้นที่ใหญ่พอและมีการกระจายตัว
- Win หมายถึงการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น หรือ Structural Reform ซึ่งเป็นส่วนที่ท้าทายที่สุด เนื่องจากรัฐบาลมีเวลาจำกัด (4+4 เดือน) การทำ Win จึงต้องอาศัยการสร้างความเชื่อมั่นและการประสานงานระหว่างภาครัฐและเอกชน
เทียบเคียง 3S คือ Stabilize, Stimulate, Structural Reform
ดร. ปุณยวัจน์ เสนอว่านโยบาย Quick Big Win สามารถเทียบเคียงกับแนวคิด 3S ที่รัฐบาลควรคำนึงถึง ดังนี้
1. Quick คล้ายกับ Stabilize เน้นการสร้างความเชื่อมั่น เร่งการเบิกจ่าย และประกาศเป้าหมายที่ชัดเจน
2. Big คล้ายกับ Stimulate เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่พอและกระจายผลประโยชน์ไปสู่ครัวเรือนทั่วไป
3. Win คือ Structural Reform เป็นมาตรการระยะยาว ซึ่ง 4 เดือนแรกของรัฐบาลอาจไม่พอ แต่ควรเป็นการวางรากฐานและส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปสานต่อ
นอกจากนี้ การที่ภาครัฐมีการ Front-load งบประมาณมาใช้ในช่วงปลายปีนี้(เช่น การอบรมสัมมนาเมืองรอง) คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับการส่งออกในต้นปี ก็มีความเสี่ยงที่การใช้จ่ายของภาครัฐในปีหน้าอาจจะแผ่วลงตามมา
ความเสี่ยงทางการคลัง และเพดานหนี้ 70% ที่หนีไม่พ้น
ความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการคือ ข้อจำกัดทางการคลัง ที่เข้ามากดดันความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
- Credit Rating Agency ปรับลด Outlook: บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้ปรับลด Outlook เศรษฐกิจไทยเป็น Negative แล้ว 2 ราย ส่วนหนึ่งเนื่องจากความเสี่ยงทางการคลัง
- หนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน ด้วยอัตราการเติบโตของ GDP ที่ต่ำและเงินเฟ้อที่ต่ำ แต่ยังคงมีการขาดดุลทางการคลังสูงประมาณ 4% ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะชนเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะไม่มีการดำเนินมาตรการใด ๆ เลยก็ตาม
- ทางออกที่ต้องทำสองด้าน รัฐบาลตระหนักถึงประเด็นนี้และกำลังทบทวนกรอบวินัยการเงินการคลัง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การคลังยั่งยืน รัฐบาลต้องดำเนินการควบคู่กันไป 2 ส่วน ได้แก่
1. เพิ่มรายได้ เช่น การทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษี และการเพิ่มฐานรายได้ภาษี
2. ลดรายจ่าย ซึ่งถือเป็นอีกครึ่งหนึ่งที่สำคัญ คือการลดงบประมาณที่ไม่มีความคุ้มค่า หรือตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงการดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมสร้างโครงการ (PPP)
โดยการขยับเพดานหนี้ SCB EIC มองว่าสุดท้ายแล้วเพดานหนี้ 70% อาจจะเอาไม่อยู่ และอาจต้องมีการพิจารณา ยกเพดานหนี้ 70% นี้ขึ้นไป อย่างน้อยในระยะสั้น เพื่อให้สามารถเพิ่มวินัยทางการคลังและการใช้จ่ายที่จำเป็นในระยะข้างหน้าได้
ดร. ปุณยวัจน์ ทิ้งท้ายว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต เช่น ต้มยำกุ้ง หรือโควิด ที่เศรษฐกิจจะติดลบทันที แต่ในปัญหาในรอบนี้เศรษฐกิจไทยจะ ‘ซึมๆ ไปเรื่อย ๆ’ ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับรัฐบาลชุดใหม่