วันที่ 8 ต.ค. เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าว บนเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 (The Third Rule of Law Forum) จัดโดย TIJ ร่วมกับ The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว The Standard ว่า ขณะนี้ไทยกำลังเผชิญกับดักปัญหาเชิงโครงสร้าง 5 ข้อ คือ Ageing Society 13.9 ล้านคน คิดเป็น 21.6% , ติดกับดักรายได้ปานกลาง (GDP per capita 7,496 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี) จุดอ่อนระบบการศึกษา งบประมาณไม่สมดุล ( 4 ล้านคน เลี้ยงคน 65.8 ล้านคน งบรายจ่ายสูง งบลงทุนต่ำ) , คอร์รัปชันระบบราชการและกฎหมายล้าสมัย ล้วนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยภาพรวม โดยสรุป 8 ข้อ
- มาตรการภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า
- ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด/การสวมสิทธิ์ส่งออก
- ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลต่อต้นทุนผลิต
- ข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
- ภาระหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจ
- ค่าเงินบาทแข็งค่า
- ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
- เสถียรภาพทางการเมือง
เกรียงไกร ระบุอีกว่า อีกปัญหาสำคัญ ที่อาจมองข้ามคือดัชนีคอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index: CPI) ปี 2024 ไทยได้ 34 คะแนน ลดลงต่ำสุดในรอบ 12 ปี เป็นอันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศ นี่คือสิ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อความโปร่งใสไทยที่ถดถอย
โดยมาจากการใช้จ่ายงบประมาณยังไม่โปร่งใส ขาดประสิทธิภาพ ความเสี่ยงเรื่องสินบนและการเรียกรับผลประโยชน์ในภาคธุรกิจ การบริหารงบประมาณ และนโยบายประชานิยม ข่าวคอร์รัปชัน การโยกย้ายไม่เป็นธรรม และการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน
“4 เดือน ของรัฐบาลนี้ ต้องเริ่มแก้กระดุมตั้งแต่เม็ดแรกในเรื่องของกฎหมายที่ล้าหลัง เพราะวันนี้ น่าห่วงมากว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ไทยเคยเป็นดาวรุ่งในเอเชีย มีสภาพที่ยับยู่ยี่ขนาดนี้ ซึ่ง GDP เศรษฐกิจไทย อยู่ในระดับแค่ 2% ที่สำคัญ ขีดความสามารถที่ทำให้เราหล่นลงมา 5 อันดับ จากอันดับ 25 ในปี 2024 เป็นอันดับที่ 30 และความสามารถในการแข่งขันภาครัฐตกต่ำลง หลังจากนี้ กกร.จะไม่ทน และจะตั้งคณะทำงาน Zero Corruption พัฒนากฎหมาย ส่งเสริมธุรกิจใหม่”
หากรัฐบาลทบทวน ยกเลิกหรือแก้ไขกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น เพียง 1,000 กระบวนงาน ก็สามารถสร้างต้นทุนให้กับประชาชนและภาคธุรกิจประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี หรือหากลดการอนุมัติอนุญาตงานที่ไม่จำเป็นในโครงการ ปลดล็อก Regulatory Guillotine ภาคเอกชนจะสามารถประหยัดต้นทุน ได้ราว 1.3 แสนล้านบาท ต่อปี หรือคิดเป็น 0.8% ของ GDP
‘คอร์รัปชัน’ อุปสรรคใหญ่เศรษฐกิจไทย บั่นทอนหลักนิติธรรม
ขณะที่ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทย คือ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” อาทิ ปัจจัยเชิงสถาบัน ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบที่ล่าช้า กฎหมายที่ล้าสมัย การทุจริตคอร์รัปชันฝังรากลึก เสถียรภาพการเมือง ตลอดจนความไม่ต่อเนื่องเชิงนโยบาย ล้วนส่งผลให้ภาครัฐและระบบราชการขนาดใหญ่ไร้ประสิทธิภาพ จนนำมาสู่หลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่เสื่อมถอย
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยหอการค้า สะท้อนจากผลการจัดอันดับ CPI ของไทยมีแนวโน้มแย่ลง โดยคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของไทยลดต่ำสุดในรอบ 10 ปี
ลดลงเหลือ 34 คะแนน ในปี 67 ต่ำกว่าประเทศที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกัน การคอร์รัปชันยิ่งเพิ่มต้นทุนและความไม่แน่นอน ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนถดถอย และบั่นทอนการเติบโตระยะยาว
“คอร์รัปชันในไทยยังอยู่ในระดับรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตเชิงนโยบายการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เสมอภาค โดยเสนอแนะว่า รัฐบาลควรเอาจริงเอาจังกับการคอร์รัปชัน และ เร็วๆ นี้ กกร. จะเดินหน้า Zero Corruption” พจน์ กล่าว
‘หนี้-แรงงาน-สูงวัย’ ท่วมไทย แนะเร่งเครื่อง 5 อุตสาหกรรมใหม่
ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า รายได้กระจุกตัวอยู่ที่รายใหญ่ 65% ของบริษัทในตลาด หนี้นอกระบบ วันนี้เศรษฐกิจนอกระบบพุ่งสูงและมีขนาดใหญ่ รายได้ต่ำกว่าศักยภาพ และหลักนิติธรรม (Rule of Law) ก็เป็นปัญหา มากไปกว่านั้นประชากรในประเทศเกือบ 25% มีหนี้นอกระบบ หนี้ครัวเรือนรวมทั้งในระบบและนอกระบบสูง 18.6 ล้านล้านบาท
ขณะที่อนาคตของชาติ และผู้สูงวัย ภาระหนี้สูง มีความเปราะบางทั้ง Gen Z และ Gen Y มีหนี้บ้าน รถยนต์ ขณะที่ Gen X เผชิญหนี้ NPL ต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ ไร้ซึ่งสวัสดิการรัฐ คนเสียภาษีในมุมรายได้มีเพียง 4 ล้านคน ส่วนแรงงานนอกระบบ SCB EIC ชี้ว่า เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานในระบบลดลงต่อเนื่องเช่นกัน รวมไปถึงคนตกงานแฝงอยู่ในภาคเกษตร ธุรกิจไทยเปราะบาง ธุรกิจปิดมากกว่าเปิดยังเพิ่มขึ้น 3.4%
ส่วนตลาดทุน ก็สะท้อนความท้าทายเศรษฐกิจไทย โดยกว่า 65% ของบริษัทในตลาดไทยมี P/B ต่ำกว่า 1 หมายความว่าการลงทุนในประเทศให้ผลตอบแทนต่ำมาก การลงทุนไทยภาพรวมลดลงต่อเนื่อง ท้ายที่สุด หนี้สาธารณะสูงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนไปถึงความสามารถแข่งขันลดลง ประสิทธิภาพรัฐต่ำกว่าเพื่อนบ้าน อีกทั้งเงินสีเทา ค่าเงินบาทแข็งก็ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ทั้งหมดนี้คือ โครงสร้างไทยยังอยู่ที่เดิม
“รัฐควรเป็น Lighthouse – Reinvent Thailand Quick Big Win 5 Sector ที่ควรเร่งขับเคลื่อน คือ 1.อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 2.เกษตร-อาหาร 3.Medical & Wellness 4.ยานยนต์ 5.Smart Electronic” ผยง กล่าวทิ้งท้าย
กฎหมายไทย “ล้าหลัง” กับดักใหญ่ฉุดรั้งเศรษฐกิจ
ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสวนาในหัวข้อ ‘ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ’ ว่า กับดักความล่าช้าของกฎหมาย ถือเป็นอุปสรรคหลักต่อการพัฒนาประเทศ เช่น การออกพระราชบัญญัติหนึ่งฉบับล่าช้าหลายเดือน แม้แต่กฎหมายรัฐสภาจะเห็นถึงความยากเสมอ หรือ การออกกฤษฎีกา การเอาเงินของบริษัทมาซื้อหุ้น
หรือข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย การแก้ไขกฎหมายรูปแบบ Omnibus Law (ร่างกฎหมายฉบับรวม) ล่าช้าอย่างมาก เพราะต้องผ่านความเห็นหลายกระทรวงทบวง กรม ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ ควรเสนอเป็นวาระแห่งชาติของทุกพรรคการเมือง
หลังจากนี้ไทยควรมุ่งเน้น แก้โครงสร้างภาษีและ ปลดล็อกกฎหมาย ซึ่งก็คาดหวังว่า 4 เดือนของรัฐบาลจะสามารถทำได้ โดยเฉพาะ ปลดล็อกกฎระเบียบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ยกตัวอย่างกฎหมายภาษี ตัดยกเลิกความซ้ำซ้อนจะช่วยเพิ่ม GDP 0.8% รวมถึงจัดเก็บรายได้นิติบุคคล บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ให้เข้าระบบมากขึ้น
ดร. มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ชวนวิเคราะห์ว่า วันนี้การจัดซื้อจัดจ้าง คอร์รัปชันในการก่อสร้างภาครัฐจึงล่าช้าเสมอ อีกทั้งยังมีคนเจ็บคนตายในการก่อสร้างโครงการภาครัฐไม่น้อย หรือแม้แต่การติดต่อราชการ เจ้าหน้าที่รัฐมีการวิ่งเต้นเส้นสาย เหตุการณ์เขากระโดงเอากฎหมายมาปกป้องเจ้านายตนเอง
“ถ้าจะเรียกความเชื่อมั่นประชาชนกลับมา ทำอย่างไรจะให้โปร่งใส และถ้าเป็นประเทศไทยเติบโต ควรเข้าเป็นสมาชิก OECD”
เอกนิติ ลุย 5 ยุทธศาสตร์ ‘กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว’
เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภายใต้กรอบเวลา 4 เดือน จะเดินหน้ารักษาวินัยการคลัง กระตุ้นเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญภาวะติดหล่ม และสุ่มเสี่ยงต่อการดิ่งเหวให้กลับมาเติบโตแบบยั่งยืน โดยมี หลักนิติธรรมและความโปร่งใส เป็นฐานรากสำคัญในการออกแบบนโยบาย
โดยจากการคาดการณ์ของหน่วยงานภาครัฐ GDP ไทยในไตรมาส 3 คาดว่าจะเติบโตเพียง 1.7% และในไตรมาสที่ 4 อาจเหลือเพียง 0.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การเปิดเผยข้อมูลตัวเลข GDP รายไตรมาสอย่างโปร่งใสครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรง ของปัญหาและสร้างความชอบธรรมในการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อป้องกันวิกฤต
“หากไม่ใช้เครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ (การใช้จ่ายรัฐบาล) เศรษฐกิจจะไม่เพียงแค่ติดหล่ม แต่อาจจะดิ่งเหวเลย”
นอกจากนี้ จะเดินหน้านโยบาย 5 เสาหลัก (Quick Big Win) เน้นการใช้จ่ายงบประมาณอย่างจำกัดและเน้นผลในระยะยาว รักษาวินัยการคลัง ไม่กู้เพิ่ม มี 5 เสาหลัก ดังนี้
- กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ผ่านนโยบาย คนละครึ่งพลัส และการเติมเงินบัตรสวัสดิการ เน้นการกระจายเม็ดเงินสู่ SME – Re-skill/Up-skill (สอนขายออนไลน์, การทำบัญชีดิจิทัล)
- ลดหนี้ เร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
- สร้างการออม/ตาข่ายรองรับทางสังคม เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการซื้อ พันธบัตรรัฐบาล
- เร่งออกมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ SME
- การลงทุนระยะยาวด้วยการ Re-skill ใช้เงินกองทุน BOI 1 หมื่นล้านบาท ผลิตแรงงานทักษะสูง (เช่น Data Center, EV, Semiconductor) ให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมที่กำลังลงทุน
ดร. เอกนิติ ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายการวัดผลที่ชัดเจนคือ GDP ไตรมาส 4 ต้องดีกว่าที่คาดการณ์ 0.3%
“ทุกนโยบายที่ทำ จะต้องรักษาวินัยการคลังเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น จะมีธรรมาภิบาลการคลัง คือต้องรู้เลยว่า ต้นทุนเท่าไร ประโยชน์เกิดอะไร กำไรเป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างไร ทุกคนจะได้เห็นไปเลย ”
‘อนุทิน’ วาง Roadmap ดันไทยร่วมขบวน OECD
อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลมีแผนที่จะดำเนินการ 3 วาระ คือ การวาง Roadmap ด้านหลักนิติธรรมเพื่อเตรียมสู่ OECD การปลดล็อกการคอร์รัปชันและปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรค สร้างความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของสังคม
นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร สำนักข่าว The Standard ทิ้งท้ายว่า เวทีเสวนาวันนี้สะท้อนให้เห็นว่า ถนนทุกสาย น่าจะมุ่งไปสู่การแก้ปัญหา หลักนิติธรรม (Rule of Law) ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นตอปัญหาเศรษฐกิจประเทศ และเป็นโจทย์ เชื่อว่ายังมีความหวัง แต่หากไม่เร่ง ปลดล็อก กฎหมาย ไทยอาจล้าหลังนานาประเทศมากขึ้นไปเรื่อยๆ