ธนาคารโลก (World Bank) ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้เป็น 2.0% แต่ปีหน้าจ่อชะลอตัว พร้อมจับตาความไม่แน่นอนทางการเมือง-นโยบาย เผยรายได้ต่อหัวไทยยังฟื้นช้ารั้งท้ายภูมิภาค พร้อมชี้เอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) กำลังเผชิญปัญหาด้านการสร้างงานเพิ่มเติม ชี้การรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จะต้องอาศัยการปฏิรูปที่ทะเยอทะยานมากขึ้น ขณะที่ความไม่แน่นอนต่างๆ เพิ่มขึ้น
วันนี้ (7 ตุลาคม) ธนาคารโลก (World Bank) ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้เป็น 2.0% เพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในรายงานเมื่อเดือนเมษายน ก่อนที่จะชะลอเหลือ 1.8% ในปีหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายที่เพิ่มขึ้นในประเทศ
การเติบโตของ GDP ไทยยังถือว่าต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) ซึ่งธนาคารโลกคาดว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะเติบโต 4.8% ในปีนี้ ลดลงจาก 5.0% ในปี 2567
โดยเวียดนามเป็นผู้นำด้วยอัตราการเติบโต 6.6% ตามด้วยมองโกเลีย (5.9%) และฟิลิปปินส์ (5.3%) ขณะที่จีน กัมพูชา และอินโดนีเซียคาดว่าจะเติบโตที่ 4.8% เท่ากัน ส่วนประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกคาดว่า จะเติบโต 2.7%
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกยังคงแสดงผลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ มากกว่าภูมิภาคอื่นๆ แต่การสร้างงานเพิ่มเติมและการรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องจะต้องอาศัยการปฏิรูปที่ทะเยอทะยานมากขึ้นในเวลาที่ภูมิภาคกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนต่างๆในเศรษฐกิจโลก
รายได้ต่อหัวไทยโต ‘รั้งท้าย’ ภูมิภาค
แม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว (output per capita) หรือรายได้ต่อหัวของประชาชน ในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ในกลุ่มประเทศ EAP จะสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิดไปแล้ว แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ยังคงไม่สม่ำเสมอ
โดยผลผลิตต่อหัวในจีนและเวียดนามในปัจจุบันสูงกว่าปี 2562 ประมาณ 30%
แต่ในหลายประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก (PICs) รวมถึงในเมียนมาร์ ในปี 2568 ผลผลิตต่อหัวยังคงต่ำกว่าระดับปี 2562
การฟื้นตัวที่ล่าช้าของ PICs ทวีความรุนแรงขึ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมถึงพายุไซโคลนรุนแรงในปี 2566 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2567 ที่ประเทศวานูอาตู
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของเมียนมาร์ยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและความขัดแย้ง ขณะที่แผ่นดินไหวเมื่อเร็วๆ นี้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากและสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างกว้างขวาง
สำหรับประเทศไทย ผลผลิตต่อหัว (output per capita) ฟื้นตัวจากโควิดในอัตราที่ต่ำ และช้ากว่าประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่
เจาะปัญหาเชิงโครงสร้าง! เศรษฐกิจโต แต่สร้างงานคุณภาพต่ำ
รายงานอัพเดตเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (East Asia and Pacific Economic Update) ประจำเดือนตุลาคม 2568 ของธนาคารโลก ระบุว่า รูปแบบการพัฒนาแบบทั่วถึงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่เคยประสบความสำเร็จในอดีตกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ การเติบโตของการจ้างงานในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นในภาคบริการที่มีผลิตภาพต่ำ และอยู่นอกระบบ ซึ่งมักมีโอกาสเติบโตในอาชีพจำกัด
นอกจากนี้ คนหนุ่มสาวยังคงประสบปัญหาในการหางาน อีกทั้งสตรีมีอัตราการเข้าร่วมแรงงานที่ต่ำกว่าชาย และแม้ว่าประชาชนกว่า 25 ล้านคนจะหลุดพ้นจากความยากจนระหว่างปี 2025–2026 แต่สัดส่วนของประชากรที่ยังคงมีความเปราะบางและเสี่ยงเข้าเขตภาวะยากจนมีจำนวนมากกว่ากลุ่มชนชั้นกลางในหลายประเทศของภูมิภาคนี้
คาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย รองประธานธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับภาวะความขัดแย้งของการจ้างงาน — คือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอสมควร แต่กลับมีการสร้างงานที่มีคุณภาพไม่เพียงพอ”
พร้อมระบุอีกว่า “การปฏิรูปที่กล้าหาญยิ่งขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการเข้าสู่ตลาดและการแข่งขันของภาคธุรกิจ จะช่วยเปิดทางให้กับเงินทุนภาคเอกชน และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่มีศักยภาพและผลิตภาพสูง อันจะนำไปสู่การสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ธนาคารโลกยังคงเป็นพันธมิตรที่มั่นคงในการสนับสนุนความมุ่งมั่นของภูมิภาคนี้ ในการเติบโตอย่างทั่วถึง เพื่อตอบสนองต่อความหวังและความทะเยอทะยานของประชาชน”
ธนาคารโลกยังคาดว่าในปีหน้า การเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจะชะลอลงสู่ 4.3% ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์การเติบโต ได้แก่ มาตรการจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนในระดับโลกที่แม้จะลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยังคงพึ่งพามาตรการกระตุ้นทางการคลังมากกว่าการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
รายงานดังกล่าวเรียกร้องให้มีการปฏิรูปและการลงทุนในทุนมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงการเพิ่มการแข่งขันในภาคบริการและนโยบายเพื่อให้เกิดความสอดคล้องระหว่างโอกาสการจ้างงานและทักษะของแรงงาน การก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิทยาการหุ่นยนต์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล กำลังทำให้บริษัท แรงงาน และผู้กำหนดนโยบายต้องมีทักษะ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวที่สูงขึ้น
อาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าว “การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยแรงงานและการส่งออกของเอเชียตะวันออกช่วยยกระดับผู้คนนับพันล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาแต่ภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายคู่ ได้แก่ มาตรการกีดกันทางการค้า (trade protection) และการแทนที่แรงงานด้วยระบบอัตโนมัติ (job automation)”
พร้อมทิ้งท้ายว่า “การปฏิรูประบบธุรกิจ และการพัฒนาการศึกษา จะสามารถสร้างวัฏจักรที่มีศีลธรรมระหว่าง ‘โอกาส’ และ ‘ศักยภาพ’ นำไปสู่การเติบโตที่สูงขึ้นและงานที่ดีกว่า”