คนไทยแบกหนี้อ่วม! หนี้ครัวเรือนปี 68 พุ่งสูงขึ้นเป็น 7.4 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้น 22% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 4 ปี เหตุภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ไม่ทันรายจ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2568 พบว่า ไทยมีหนี้สูงขึ้น และประเทศไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนมา 10 ปีแล้ว มีสัดส่วนสูงกว่า 80% ของจีดีพี
โดยปี 2567 ไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนราว 6 แสนบาท/ครัวเรือน ส่วนปีนี้เพิ่มเป็น 7.4 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้นถึง 22% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี สาเหตุหลักเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น และสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ
นอกจากนี้ หนี้นอกระบบก็พุ่งสูงขึ้น เพราะสินเชื่อในระบบตึงตัว แบงก์ไม่ปล่อยกู้ ทำให้สินเชื่อติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาสแล้ว
“หลังจากนี้ ต้องจับตามอง NPL เป็นพิเศษ เพราะมี NPL ที่อยู่กลุ่มต้องจับตามองพิเศษ 6% ขณะที่ NPL ในกลุ่มที่ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองอยู่ที่ 4% ทำให้คนผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น”
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลจะต้องเร่งกระตุ้นจีดีพีโดยเร็ว เริ่มจากมาตรการคนละครึ่ง เชื่อว่าหากรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินคนละครึ่งวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท จะทำให้จีดีพีปีนี้โตได้ถึง 2% จะดึงให้หนี้ครัวเรือนลดลง และหากรัฐกระตุ้นต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจปีหน้าโตได้ 3-4% จะทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่ำกว่า 80% ได้ภายใน 3 ปี
นอกจากนี้ รัฐจะต้องเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว ต้องเร่งหาตลาด รวมทั้งเร่งหาสินเชื่อให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี หามาตรการทำให้สินเชื่อกลับมาเป็นบวกให้ได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
อุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568 พบว่า ครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ 30.9% มีรายได้เฉลี่ย 50,001-100,000 บาท/เดือน โดยส่วนใหญ่ 46.3% ไม่เคยเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ส่วนกลุ่มคนที่มีการเก็บออมพบว่ามีการเก็บออมลดลง
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถานะทางการเงินของครัวเรือนปีนี้กับปีก่อน ส่วนใหญ่ 44.5% มีสถานะเหมือนเดิม, 28.4% แย่ลง, 20.7% แย่ลงมาก, 5.2% ดีขึ้น และ 1.2% ดีขึ้นมาก ด้านสถานะรายได้เทียบกับรายจ่าย 47.3% ตอบว่ามีเงินเหลือเก็บ และ 22.2% เงินไม่เพียงพอใช้จ่าย
โดยกลุ่มที่รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย 39.9% แก้ปัญหาด้วยการกู้ยืมจากแหล่งต่าง ๆ อันดับหนึ่งคือกดเงินสดจากบัตรเครดิต รองลงมาคือกู้จากธนาคารพาณิชย์ กู้จากธนาคารเฉพาะกิจ เป็นต้น โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนมาก 38.2% มองว่าค่าครองชีพเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ความเป็นอยู่แย่ลง
นอกจากนี้ กลุ่มภาวะหนี้ของครัวเรือนในปี 2568 พบว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่ 95.1% มีเพียง 4.9% ที่ตอบว่าไม่มีหนี้ โดยมีหนี้เฉลี่ย 740,596.94 บาท/ครัวเรือน มีอัตราผ่อนชำระ 22,022.08 บาท/เดือน โดยเป็นหนี้ในระบบสัดส่วน 65.0% ผ่อนชำระ 20,330 บาท/เดือน ส่วนอีก 35% เป็นหนี้นอกระบบ ผ่อนชำระ 8,023/เดือน
ทั้งนี้ ประเภทหนี้สินใหญ่ 46.8% เป็นหนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือหนี้ที่อยู่อาศัย และยานพาหนะ โดยเมื่อแบ่งตามอาชีพจะพบว่าอาชีพราชการจะก่อหนี้ยานพาหนะมากสุด อาชีพรับจ้างก่อหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต เจ้าของกิจการก่อหนี้ที่อยู่อาศัย พนักงานเอกชนก่อหนี้บัตรเครดิต และเกษตรกรก่อหนี้สินเชื่อเพื่อการเกษตรมากที่สุด
ขณะเดียวกัน ด้านความสามารถในการชำระหนี้ในปัจจุบัน พบว่าคนส่วนใหญ่ 59.3% ตอบว่า สามารถชำระได้ตามกำหนด, 24.3% ชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน, 15.6% ชำระได้ไม่เกิน 3 เดือน และ 0.8% ไม่สามารถชำระหนี้ได้
เมื่อถามว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเคยผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ 74.4% ตอบว่าเคย มีอัตราเพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 71.6% และ 25.6% ตอบว่าไม่เคยผิดนัด สาเหตุหลักที่ผิดนัดชำระหนี้คือรายได้ลดลง รองลงมาคือเศรษฐกิจไม่ดี มียอดชำระหนี้เพิ่มขึ้น ตกงาน และอื่น ๆ
ธนวรรธน์ กล่าวถึง กรณีที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว ของไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” แต่ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ ว่า สาเหตุ ที่ปรับลดลงส่วนหนึ่งมาจากหนี้สาธารณะของรัฐบาล และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานกว่า 10 ปีแล้ว หากรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะลดลงได้
ภาพ: Deagreez/Getty images