สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก วานนี้ (27 กันยายน) โดยย้ำความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของประเทศไทยต่อพหุภาคี และชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีกัมพูชาพยายามบิดเบือนและแสดงตนเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนที่เกิดขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายข้อพิพาทไปสู่ระดับนานาชาติ
สีหศักดิ์ เริ่มต้นสุนทรพจน์ โดยกล่าวว่า โลกยังคงต้องการสหประชาชาติ แต่ชี้ว่า เพื่อให้การทำหน้าที่บรรลุวัตถุประสงค์ สหประชาชาติต้องพัฒนาให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ขณะที่เขายืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่มีต่อหลักการพหุภาคี และชี้ว่าวิสัยทัศน์ของไทยขยายออกไปนอกพรมแดน แม้ว่าประเทศจะยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและเผชิญกับความท้าทายภายใน
“ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เผชิญกับความท้าทายภายในประเทศที่เร่งด่วน แต่วิสัยทัศน์ของเราขยายออกไปนอกพรมแดน สู่โลกกว้าง เพราะเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ เรามุ่งมั่นในหลักการพหุภาคี ปรารถนาโลกที่สันติ ยุติธรรม และเปิดกว้าง” เขากล่าว
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันและเป็นประชาคมเดียวกันเพื่อความแข็งแกร่งของสหประชาชาติ ตามหัวข้อการอภิปรายทั่วไปในปีนี้คือ “Better Together”
โดยเขาชี้ว่า ปัจจุบันทั่วโลกเผชิญกับความแตกแยกมากขึ้น ด้วยลัทธิปกป้องผลประโยชน์ การแยกตัว ความขัดแย้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และชี้ถึงปัญหา สงครามและความขัดแย้งที่รุนแรง เช่น กรณีสงครามในยูเครน
ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทและการมีส่วนร่วมของไทย ทั้งการมีกองกำลังรักษาสันติภาพปฏิบัติการอยู่ทั่วโลก, การกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด, การรับมือกับความท้าทายข้ามชาติ เช่น การพลัดถิ่นและภัยพิบัติที่เกิดจากความขัดแย้ง, การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการฉ้อโกงทางออนไลน์
แจงข้อเท็จจริง กัมพูชาแสดงตนเป็นเหยื่อ
สีหศักดิ์ กล่าวถึงสถานการณ์พิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชา ว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และไม่เอื้ออำนวยต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองฝ่ายที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด และย้ำว่า “ไทยและกัมพูชานั้นไม่อาจแยกจากกันได้” และเป็น “ส่วนหนึ่งของครอบครัวอาเซียนเดียวกัน”
ขณะที่เขาแสดงความผิดหวังที่กัมพูชายังคงแสดงตนเป็นเหยื่อและบิดเบือนข้อเท็จจริงในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
“ ผมรู้สึกผิดหวังที่กัมพูชายังคงแสดงตนเป็นเหยื่ออยู่ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กัมพูชาได้นำเสนอข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตนเอง ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะเป็นเพียงการบิดเบือนความจริง”
“เรารู้ว่าใครคือเหยื่อที่แท้จริง พวกเขาคือทหารไทยที่สูญเสียขาจากกับระเบิด เด็กๆ ที่โรงเรียนถูกยิงถล่ม และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังซื้อของในวันนั้นที่ร้านสะดวกซื้อ ที่ถูกโจมตีจากจรวดของกัมพูชา”
โดยสีหศักดิ์ยังเผยว่า ก่อนหน้านี้เขาได้พบกับผู้แทนฝ่ายกัมพูชาที่ห้องประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ และพูดคุยเกี่ยวกับสันติภาพ การเจรจา ความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน และต่อมายังได้มีการเน้นย้ำเรื่องนี้ในการปรึกษาหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่าง 4 ฝ่ายที่มีสหรัฐฯ และมาเลเซียเข้าร่วมด้วย แต่ว่าสิ่งที่ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา พูดบนเวที UN กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่พูดในการประชุม และเป็นข้อกล่าวหาที่เกินเลยจากข้อเท็จจริง ซึ่งเผยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของกัมพูชา
ขณะเดียวกัน สีหศักดิ์ยังกล่าวว่า “ตั้งแต่แรกเริ่ม กัมพูชาได้ริเริ่มความขัดแย้งโดยมีเจตนาที่จะขยายข้อพิพาทเรื่องพรมแดนให้กลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติ และขยายขอบเขตไปสู่ระดับนานาชาติมากขึ้น ดังเช่นที่เกิดขึ้นในการกล่าวสุนทรพจน์บนเวที UN
โดยเขายังชี้แจงถึงกรณีของพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน ในอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยยืนยันว่าพื้นที่เหล่านี้อยู่ในดินแดนไทย แต่เพราะประเทศไทยได้ตัดสินใจด้านมนุษยธรรมที่จะเปิดพรมแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมือง เข้ามาพักพิงในประเทศไทย
“แม้ว่าสงครามกลางเมืองจะสิ้นสุดลงและศูนย์พักพิงถูกปิดไปแล้ว แต่หมู่บ้านของกัมพูชาก็ยังคงขยายตัวรุกล้ำในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ไทยจะประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กัมพูชากลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องเหล่านั้นในการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำดังกล่าว” เขากล่าว
นอกจากนี้ สีหศักดิ์ยังชี้ถึงการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา รวมถึงการระดมพลเรือนเข้าสู่ดินแดนไทยและการยิงปืนเข้าใส่ฝ่ายไทยที่ประจำการอยู่ตามแนวชายแดน รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น ขณะที่กองทัพไทยยังคงตรวจจับโดรนสอดแนมของกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนไทยเป็นประจำทุกวัน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย รวมถึงข้อตกลงหยุดยิง
พร้อมกันนี้ เขาย้ำว่า “ประเทศไทยยืนหยัดเพื่อสันติภาพ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกอย่างสันติต่อปัญหาปัจจุบันกับกัมพูชา แต่ในขณะเดียวกัน ไทยจะยืนหยัดอย่างมั่นคงและแน่วแน่ในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา”
“เราขอเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือกับเราในการแก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจาอย่างสันติและกลไกที่มีอยู่” เขากล่าว