×

The Artist จิอันฟรังโก โซลา ศิลปินลูกหนังทายาทมาราโดน่า (Part 1)

28.09.2025
  • LOADING...

ในปี 1995 ชัยชนะบนศาลของ ฌอง-มาร์ค บอสแมน นักฟุตบอลผู้อาภัพได้เปลี่ยนแปลงฉากทัศน์ของโลกฟุตบอลไปอย่างสิ้นเชิง

 

นักฟุตบอลชาวยุโรปสามารถเดินทางโยกย้ายไปสู่สโมสรต่างๆ ได้อย่างอิสระโดยไม่มีอะไรขัดขวางได้อีกเพราะกฎข้อบังคับเดิมที่เคยระบุว่า แต่ละสโมสรจะส่งนักฟุตบอลต่างชาติลงสนามได้เพียงแค่ 3 คนนั้นไม่มีอีกแล้ว และนั่นทำให้เกิดการโยกย้ายครั้งใหญ่ของเหล่าสตาร์ดังที่ได้โอกาสในการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ในดินแดนที่อาจจะไม่เคยคิดฝันมาก่อน

 

โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกที่กลายเป็นจุดหมายที่น่าจับตามอง ด้วยความนิยมของเกมฟุตบอลมีฐานแฟนฟุตบอลทั่วโลกโดยเฉพาะในเอเชียที่เป็นตลาดใหญ่ รวมถึงการเป็นลีกที่มีเกมฟุตบอลหนักหน่วงรวดเร็วเป็นเอกลักษณ์

 

หนึ่งในเหล่านักเตะที่ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาในช่วงเวลานั้นคือ จิอันฟรังโก โซลา

 

นักฟุตบอลร่างเล็กจิ๋วผู้กลายเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่แฟนเชลซีรักมากที่สุด

 

 ฌอง-มาร์ค บอสแมน ในปี 1995

 

การถือกำเนิดของ “กฎบอสแมน” ในปี 1995 ทำให้เคน เบตส์ ประธานสโมสรเชลซีในขณะนั้น พร้อมด้วยแมตธิว ฮาร์ดิง มือขวานักบริหารคนสำคัญในตำแหน่งรองประธานสโมสร มองเห็นโอกาสครั้งใหญ่ในการจะเปลี่ยนแปลงสโมสรให้คืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

 

แผนการดังกล่าวคือการดึงเหล่าสตาร์นักเตะจากต่างแดนเข้ามาเพื่อยกระดับทีมให้ได้อย่างรวดเร็ว และนักฟุตบอลคนแรกที่เป็นคนเปิดประตูบานนี้ ไม่ใช่แค่กับเชลซี แต่เป็นการเปิดประตูสู่ยุคสมัยใหม่ของพรีเมียร์ลีก (หรือที่เรียกติดปากอีกชื่อว่าพรีเมียร์ชิพในขณะนั้น) คือรุด ฮุลลิท

 

ฮุลลิท เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคนแรกๆ ที่ย้ายมาเล่นในลีกอังกฤษ ก่อนที่จะมีอีกหลายคนตามมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถูกเรียกขานว่า “การปฏิวัตินักเตะต่างชาติ” (Foreign revolution) โดยสตาร์ชาวดัตช์เชื้อสายซูรินาม ตัดสินใจอำลาซามพ์โดเรีย มาอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์แบบไม่มีค่าตัว (Free transfer)

 

การย้ายทีมครั้งนั้นระบือลือลั่นโลกลูกหนังอย่างมาก และเชลซี ในเวลานั้นเป็นเพียงแค่ทีมระดับกลางตารางเท่านั้น แต่ได้ซูเปอร์สตาร์ที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดของโลกมาแล้วในบท “สามทหารเสือชาวดัตช์” ของเอซี มิลาน ที่ครองโลกในยุคปลาย 80 ต่อ 90 และเคยครองรางวัลเกียรติยศอย่างลูกบอลทองคำ หรือ “บัลลงดอร์” มาแล้ว

 

เพียงแต่ด้วยวัยที่ร่วงโรย ชั้นเชิงและมันสมองเพียงอย่างเดียวของฮุลลิทไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเชลซีกับผลงานในสนามได้ดังหวัง ผู้จัดการทีมอย่างเกล็นน์ ฮอดเดิล ที่ล้มเหลวกับไอเดียการใช้งานฮุลลิทในบท “สวีปเปอร์” ในช่วงแรกของฤดูกาล 1995/96 ตัดสินใจอำลาทีมเพื่อรับงานคุมทีมชาติอังกฤษต่อจาก “เอล เทล” เทอร์รี เวนาเบิลส์

 

ตำนานลูกหนังชาวดัตช์ถูกเลือกจากประธานสโมสรอย่างเบตส์ให้เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมคนใหม่ แม้ว่าจะไม่ได้เต็มใจก็ตาม

 

แต่นั่นนำไปสู่หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับเชลซีในเวลาต่อมา

 

 

 ฌอง-มาร์ค บอสแมน ในปี 1995

 

ที่อิตาลี ถึงแม้จะมีผลงานการเล่นที่ยอดเยี่ยมใช้ได้แต่ จิอันฟรังโก โซลา ไม่เคยได้รับการยอมรับในฐานะซูเปอร์สตาร์ของกัลโช เซเรีย อา อย่างที่ควรจะได้รับมาก่อน

 

เรื่องนี้ทั้งเข้าใจได้และเข้าใจไม่ได้

 

ที่เข้าใจได้เพราะในยุคสมัยนั้นเซเรีย อา คือลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดที่อุดมไปด้วยเหล่ายอดมนุษย์ลูกหนังระดับโลกที่เดินชนกันแทบทั้งสิ้น และเหล่ายอดมนุษย์ลูกหนังเหล่านี้มักจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป

 

นักเตะที่ดูเป็นคนธรรมดาๆ พูดน้อยอย่างโซลา จึงไม่ได้เป็นนักฟุตบอลที่โดดเด่นน่าจับตามองอะไรขนาดนั้น

 

แต่ที่เข้าใจไม่ได้คือหากพินิจให้ดีนักเตะฉบับกระเป๋าคนนี้จัดเป็นยอดยุทธ์คนหนึ่งของวงการ จากดาวเด่นของตอร์เรส ในระดับเซเรีย ซี-1 (Serie C-1) ลูชาโน มอจจี คว้าตัวโซลามาอยู่กับนาโปลี ในปี 1989 ด้วยค่าตัวราว 2 ล้านปอนด์ในเวลานั้น

 

มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นาโปลียังมี ดีเอโก อาร์มันโด มาราโดนา เทพเจ้าลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้นำทัพอยู่ โซลาจึงเป็นเหมือนลูกน้องคนสนิทที่ได้ศึกษาวิชาลูกหนังจากนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก

 

ว่ากันว่าหลังการฝึกซ้อมเสร็จในเวลาปกติ มาราโดนาจะซ้อมการยิงลูกฟรีคิกต่อ ซึ่งโซลาก็จะอยู่ซ้อมด้วย และมันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เช่นกันกับการเป็นหนึ่งในคนสนิทของดอน ดีเอโก ที่มั่นใจในระดับที่บอกต่อชาวนาโปลีในวันที่เขาต้องระเห็จออกจากทีมจากคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับยาเสพติดว่า

 

“ไม่ต้องมองหาตัวแทนของผมที่ไหนไกลหรอก ทีมของเรามีโซลาอยู่แล้ว”

 

 ฌอง-มาร์ค บอสแมน ในปี 1995

 

โซลา เป็นผู้รับสืบทอดเสื้อหมายเลข 10 ของนาโปลีต่อจากมาราโดนาในปี 1991 (คนที่มอบเบอร์สำคัญนี้ให้คือเคลาดิโอ รานิเอรี) และกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีม โดยเฉพาะในฤดูกาล 1992/93 ที่ทำไป 12 ประตูกับอีก 12 แอสซิสต์จากการลงสนาม 33 นัดในลีกที่ยากที่สุดในโลก

 

แต่หลังจากนั้นในปี 1993 นาโปลี ตัดสินใจขายเขาออกไปให้กับปาร์มาด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์ในเวลานั้น ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงไม่น้อยเพราะสโมสรกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ขณะที่เจ้าตัวถูกแฟนในเมืองเนเปิลส์กล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศ

 

ปาร์มา ภายใต้การสนับสนุนของ Parmalat บริษัทท้องถิ่นในเวลานั้นเป็นหนึ่งในสโมสรที่มาแรง กลยุทธ์ในการซื้อผู้เล่นในระดับสตาร์เบอร์รองหรือซูเปอร์สตาร์ตกรุ่นของพวกเขาได้ผล และกลายเป็นทีมที่สร้างปรากฏการณ์ในอิตาลี

 

โซลา ระเบิดผลงานทันทีในฤดูกาล 1993/94 พาปาร์มา คว้าแชมป์ยูเอฟา ซูเปอร์ คัพ ได้ปี 1993 พาทีมทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศยูเอฟา คัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี 1994 ทำประตูในเซเรีย อา ได้ถึง 18 ประตู 

 

ต่อด้วยในฤดูกาล 1994/95 โซลา เป็นหนึ่งกำลังสำคัญที่พาปาร์มาเกือบพิชิตสคูเด็ตโตได้ น่าเสียดายที่พ่ายต่อยูเวนตุสที่แข็งแกร่งกว่าไป โดยที่เพลย์เมคเกอร์ร่างเล็ก (คนที่มาราโดนาบอกด้วยความดีใจว่า “ในที่สุดก็มีคนที่ตัวเตี้ยกว่าผมสักที) ทำไปถึง 19 ประตูด้วยกัน แต่ที่สำคัญกว่าคือการพาทีมเป็นแชมป์ยูเอฟา คัพ ได้ในปี 1995

 

 ฌอง-มาร์ค บอสแมน ในปี 1995

 

ผลงานดังกล่าวเขาควรจะได้รับสถานะที่แตะต้องไม่ได้ภายในทีมแล้ว แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

ปาร์มา ตัดสินใจคว้าตัวฮริสโต สตอยช์คอฟ นักเตะผู้มีเท้าซ้ายมหัศจรรย์มาจากบาร์เซโลนา ซึ่งโดยบทบาทนั้นทับซ้อนโดยตรงกับโซลา และคาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ของทีม “จัลโลบลู” ในเวลานั้นมองว่าโซลาไม่เหมาะกับระบบการเล่นแบบ 4-4-2 ของเขา 

 

โซลา จึงเสียทั้งบทของตัวทำเกมให้แก่สตอยช์คอฟ และบทกองหน้าก็ถูกแย่งจากเอ็นริโก คิเอซา และเอร์นาน เครสโป สองสตาร์ดาวรุ่งในขณะนั้น

 

นั่นทำให้เมื่อฮุลลิท ติดต่อสอบถามถึงความเป็นไปได้ว่าเขาสนใจที่จะย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ชิพดูบ้างไหม?

 

คำตอบจากปลายสายคือ “ผมสนใจ”

 

*ติดตามเรื่องราวการผจญภัยของจิอันฟรังโก โซลา กับเชลซีต่อได้ในสัปดาห์หน้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising