ในปี 2021 นิตยสาร L’Equipe สัมภาษณ์ อุสมาน เดมเบเล ซึ่งขณะนั้นยังอยู่กับบาร์เซโลนา ด้วยคำถามที่น่าสนใจ
คุณอยากจะให้คนจดจำคุณในฐานะนักฟุตบอลแบบไหน? คำตอบของเขาในเวลานั้นคือ “ผมอยากให้คนบอกว่า หมอนี่เป็นจอมเลื้อยที่น่าดูมาก ไม่ว่าจะเป็นเวลากี่โมงก็ตาม เมื่อเปิดทีวีแล้วได้เห็นก็อยากดูลีลาการเลื้อยและการยิงประตูของคนนี้”
ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะตลอดชีวิตเดมเบเล เป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกที่ถนัดในการกระชากลากเลื้อยมากที่สุด โดยไม่ได้มีเพียงแค่ความเร็วที่หาตัวจับได้ยาก แต่เป็นผู้เล่นที่ถนัดสองเท้า เล่นเท้าซ้ายและขวาได้ดีพอๆ กัน สามารถเปลี่ยนสเต็ปการเลี้ยงบอลได้ในเสี้ยววินาที และนั่นทำให้เขาเป็นคนที่พาบอลเลาะเลื้อยไปตามพื้นที่ต่างๆ ในสนามได้อย่างน่ามหัศจรรย์
แต่จอมเลื้อยในวันนั้นไม่มีอีกแล้ว เช่นกันกับเด็กมีปัญหาที่ใครก็ส่ายหน้าในวันวาน เพราะนี่คือเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2025
เดมเบเล เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตบ้างถึงมีวันนี้?
เรื่องราวของอุสมาน เดมเบเล เป็นเรื่องราวที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งไม่ใช่แค่ในเชิงของนักฟุตบอลคนหนึ่ง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของคนคนหนึ่งที่พลิกชีวิตจากคนที่เคยถูกมองว่าเป็นพรสวรรค์ที่ล้มเหลวสู่การเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลก
โดยที่ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นผลอย่างจริงจังนั้นไม่ได้เป็นช่วงระยะเวลาที่เนิ่นนานอะไร เพราะชีวิตของเดมเบเล เปลี่ยนแปลงภายในระยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น
จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงภายในทีมปารีส แซงต์ แชร์แมงเอง ซึ่งพวกเขาเสีย คิเลียน เอ็มบัปเป กองหน้าซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่งและเป็นซูเปอร์สตาร์คนสุดท้ายภายในทีมไปให้กับเรอัล มาดริดแบบไม่มีค่าตัวในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูร้อน 2024 หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ลิโอเนล เมสซี ได้อำลาทีมไปอยู่กับอินเตอร์ ไมอามี และเนย์มาร์ ตัดสินใจอำลาทีมไปอยู่กับอัล-ฮิลาลแล้ว
แต่การดับสูญของดาวดวงหนึ่งมีโอกาสหมายถึงการกำเนิดใหม่ของดาวอีกมากมาย
โดยนโยบายจากเบื้องบนและแนวทางที่ชัดเจนของ หลุยส์ เอ็นริเก บอสใหญ่ชาวสเปน เปแอสเชจะไม่เป็นทีมที่พึ่งพาอาศัยความมหัศจรรย์ของผู้เล่นในระดับซูเปอร์สตาร์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่ามันไม่อาจนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างยั่งยืนได้
พวกเขาเลือกที่จะเดินไปในทิศทางที่แตกต่างด้วยการสร้างทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นศักยภาพสูงที่พร้อมจะช่วยกันเล่นเพื่อพาทีมไปสู่ความสำเร็จได้
ถึงอย่างนั้นมีตำแหน่งหนึ่งที่เอ็นริเก ยังไขปริศนาไม่ออกในตอนแรก
เขาอยากได้นักเตะกองหน้าในแบบที่ไม่ใช่กองหน้า หรือ “False nine” สักคนที่จะเป็นคนกดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ให้ทีมเดินเครื่อง
ในช่วงแรกนั้นนักเตะที่ถูกทดลองใช้งานในบทบาทนี้คือ กอนซาโล รามอส กองหน้าทีมชาติโปรตุเกสที่สร้างชื่อด้วยการทำแฮตทริกในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 เพียงแต่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาล
ตัวเลือกคนต่อไปตามตำแหน่งแล้วคือ ร็องดอลล์ โคโล มัวนี ศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศส เพียงแต่ด้วยสไตล์การเล่นในแบบ Target man ทำให้เอ็นริเกไม่กล้าที่จะฝากผีฝากไข้ไว้ นั่นทำให้เขาพยายามค้นหาคำตอบไปเรื่อยๆ
มีนักเตะหลายคนที่ถูกทดสอบใช้ในบทบาทนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาร์โก อเซนซิโอ, อีคังอิน ไปจนถึง เดซิเร ดูเอ กองหน้าดาวรุ่งที่ย้ายเข้ามาใหม่ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจสักที
ถึงในการแข่งขันภายในประเทศจะไม่ใช่งานลำบากสำหรับเปแอสเช แต่เมื่อพวกเขาต้องเจอของจริงในเกมระดับยุโรปแล้ว ทีมที่ยังไม่ลงตัวชุดนี้ไม่ดีพอที่จะทำผลงานที่น่าประทับใจได้ พวกเขาเสมอกับพีเอสวีในบ้าน แพ้แอตเลติโก มาดริดคาบ้าน และพ่ายให้กับบาเยิร์นอีกจนทำให้เสี่ยงต่อการที่จะตกรอบลีกเฟส (League phase)
จนกระทั่งถึงในเกมกับโอลิมปิก ลียง ในเดือนธันวาคมปีกลายที่เอ็นริเก ได้ทดสอบการใช้เดมเบเล ที่ตลอดมาจะประจำการในฐานะปีกขวาเสมอในบทกองหน้าตัวกลางบ้าง แต่ไม่ใช่กองหน้าในแบบดั้งเดิม เพราะเขาได้รับมอบหมายให้เล่นในบท “False nine”
ถึงจะเคยเล่นกองหน้าตัวกลางมาบ้างแล้วในชีวิต แต่ไม่มีสักครั้งที่เดมเบเล จะได้รับ “โจทย์” การเล่นที่แตกต่าง
เพราะ “จ็อบ” ของเขาไม่ใช่เรื่องของการทำประตูแค่อย่างเดียว แต่เป็น “ศูนย์กลาง” ของทั้งทีม
ในเกมนั้นเดมเบเล นอกจากจะทำประตูได้แล้วยังสร้างสรรค์เกมได้อย่างน่ามหัศจรรย์ สุดท้ายเปแอสเช คว้าชัยชนะได้อย่างสวยงาม 3-1
สื่อในฝรั่งเศสพาดหัวตัวไม้สวยงาม “La machine était lancée”
เครื่องยนต์ได้ถูกจุดติดและเริ่มต้นทำงานแล้ว
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเปแอสเชก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และชีวิตของเดมเบเลก็ไม่เหมือนเดิมอีกตลอดกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปแอสเช ได้ตัว ควิชา ควารัตสเคเลีย มาจากนาโปลีในช่วงตลาดการซื้อขายรอบเดือนมกราคม เข้ามาเติมความมหัศจรรย์ให้สูงไปอีกขั้น เอ็นริเก จึงได้ทีมที่สมบูรณ์แบบตามภาพที่เคยฝันเอาไว้
เพียงแต่คนสำคัญที่สุดของทีมที่ไม่มีใครแทนที่ได้คือเดมเบเล
อย่างไรก็ดีในรายละเอียดแล้วเดมเบเล ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่เพียงเรื่องของแท็คติกหรือวิธีการเล่นในสนามเท่านั้น
เพราะความจริงแล้วสิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือความคิดและจิตใจ (Mentality)
จากนักฟุตบอลที่เคยดูหย่อนยาน ไม่จริงจัง และบางครั้งแอบติดตุกติกนิดๆ จู่ๆเดมเบเล ก็กลายเป็นคนใหม่ เป็นนักฟุตบอลที่ทุ่มเท มีสมาธิกับการเล่น และเปลี่ยนจากคนที่จะเล่นเพื่อตัวเองกลายเป็นคนที่เล่นเพื่อทีมอย่างแท้จริง
สิ่งนี้เราได้เห็นในเกมนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก ที่เขาขยับขึ้นสูงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะชาร์จใส่ แยนน์ ซอมเมอร์ นายทวารอินเตอร์ มิลาน ทั้งๆที่ในตอนนั้นสกอร์ขาดไปแล้วและไม่จำเป็นจะต้องโหมอะไรขนาดนั้น
นั่นคือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงการกำเนิดใหม่ของนักเตะที่เคยถูกมองว่าน่าเสียดายมากที่สุดคนหนึ่งของโลกฟุตบอล
คนที่เคยถูกมองว่าทิ้งพรสวรรค์ไปอย่างสูญเปล่า และคงไม่มีวันที่จะกลายเป็นนักฟุตบอลที่เขาควรจะเป็นได้
คนที่โลกเกือบลืมไปแล้วว่าเขามีค่าตัวในการย้ายทีมจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ไปบาร์เซโลนาสูงถึง 145 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวที่สุดอีกครั้งของบาร์ซาในยุคมืดมนเพราะเดมเบเล ไม่อาจกลายเป็นคนที่ทดแทนเนย์มาร์ได้
ในเชิงของพรสวรรค์ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นนักฟุตบอลที่พิเศษ
แต่สิ่งที่เดมเบเลขาดมาตลอดคือคุณสมบัติของการเป็นนักฟุตบอลที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวินัย เรื่องความมุมานะ ความพยายาม และความอดทนอดกลั้น
สิ่งเหล่านี้แม้แต่ลิโอเนล เมสซี ก็รู้ดีและพยายามช่วยกันกับรุ่นพี่ในทีมบาร์ซา ในการจะชี้นำเขาให้เดินบนเส้นทางที่ถูกเพราะรู้ว่าถ้าเขาทำได้ นี่คือหนึ่งในสุดยอดนักเตะของโลกที่หาตัวจับได้ยากอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่แม้แต่เมสซีก็ช่วยเขาไม่ได้ในเวลานั้น เพราะเดมเบเล มีปัญหาความประพฤติต่อเนื่อง ชอบเล่นเกมดึก และมาซ้อมสายตลอดจนกลายเป็นนักเตะที่โดนปรับเงินมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร
นั่นมาถึงคำถามที่หลายคนอาจจะสงสัย
เกิดอะไรขึ้นกับเดมเบเลคนนั้น?
“ว่ากันว่า” สิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นในปี 2021 ภายหลังจากการแต่งงานกับแฟนสาวผู้กลายเป็นภรรยาที่ประเทศโมร็อกโก และหลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ได้โซ่ทองคล้องใจเส้นแรก
พิธีวิวาห์ของเขาในครั้งนั้นสร้างความประหลาดให้แก่คนมากมายไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมทีม เพราะไม่มีใครรู้ว่าเดมเบเลมีคนรัก
ความรักและครอบครัวค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองของชีวิตผู้ชายคนหนึ่ง
จากเด็กติดเกม เดมเบเล เริ่มสนใจการดูแลสภาพร่างกายของตัวเองอย่างจริงจังถึงขั้นบ่อยครั้งที่เดินทางกลับฝรั่งเศสมาเพื่อเข้ารับการดูแลสภาพร่างกายแบบพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญ เริ่มที่จะให้ความสนใจกับเรื่องของโภชนาการ และจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อดูแลไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของตัวเอง
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดในช่วง 2 ปีสุดท้ายของเขากับบาร์ซา ที่ทำให้เขาเริ่มเป็นคนที่นอกจากเพื่อนจะรักในรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะแล้ว ยังเป็น “มืออาชีพ” ที่น่ายกย่องด้วย และนั่นทำให้การย้ายทีมของเขาในฤดูร้อนปี 2023 นำมาซึ่งความเสียใจและเสียดายของเพื่อนๆในทีม
แต่แค่นี้ยังไม่พอ
เพราะสิ่งที่ทำให้เดมเบเล ไม่ได้เป็นแค่คนที่ดีขึ้นแต่เป็นคนที่เก่งขึ้นด้วยนั้นมาจากการเปลี่ยนมุมมองและวิธีคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าตลอดมาเขาถนัดกับการเป็นผู้เล่นริมเส้น เป็นปีกจอมกระชากที่ให้ความสำคัญกับการพาบอลไปข้างหน้ามากกว่าการทำประตู (โดยเฉพาะประตูสวยๆ)
แต่หากจะเล่นบทศูนย์หน้าแล้ว ขี้หมูขี้หมามันต้องมีสกอร์ให้เห็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการยิงประตูที่สวยงามหรือการเข้าซ้ำแบบจ่อๆก็ตาม
การท้าทายระบบความคิดและความเชื่อที่ติดตัวมาตลอดเป็นโจทย์ชีวิตที่ยากที่สุดสำหรับเดมเบเล ซึ่งโชคดีที่เขาได้รับการชี้แนะจากโค้ชที่เก่งกาจและมองขาดอย่างเอ็นริเก ที่ปรับทัศนคติของเขาในขั้นสุดท้ายจนทำให้เกิดความเชื่อมั่น
ว่าเขาคือคนที่จะช่วยทีมได้ด้วยการทำสิ่งต่างๆที่มากกว่าแค่การกระชากบอลสวยๆ
เดมเบเล จึงกลายเป็นทั้งตัวอันตรายในเกมรุก เป็นคนสร้างสรรค์เกมให้ทีม ผ่านบอลสวยๆให้เพื่อน ช่วยลงมาไล่ในเกมรับ ขึ้นไปเพรสในแดนบน และเป็นที่พึ่งพิงให้ทีมในยามที่เจอสถานการณ์คับขันและต้องการใครสักคนที่จะเก็บบอลเอาไว้ให้เพื่อซื้อเวลาสัก 1-2 วินาที
การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งใหญ่และทรงพลังยิ่งนัก ทำให้ภายในระยะเวลาแค่ 6 เดือน เดมเบเล เปลี่ยนจากนักฟุตบอลธรรมดาคนหนึ่ง กลายเป็นผู้เล่นระดับโลกที่ทุกคนต่างยอมรับในความสามารถและทัศนคติการเล่นที่ยิ่งใหญ่เกินตัว
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกฟุตบอล
เมื่อรวมกับความสำเร็จ 4 แชมป์ (Quadruple) กับเปแอสเช และรองแชมป์สโมสรโลก (ที่น่าเสียดาย) ที่เขามีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จนี้ ทำให้แม้ว่าจะเป็นปีที่มีนักฟุตบอลระดับสตาร์มากมายที่คู่ควรกับการได้รางวัล ไม่ว่าจะเป็น ราฟินญา, โม ซาลาห์ หรือลามีน ยามาล
แต่คนที่คู่ควรที่สุดคือเดมเบเล
นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของโลกในปีนี้ นักเตะฝรั่งเศสคนที่ 4 ที่ได้รางวัลอันทรงเกียรติที่ก่อตั้งโดยนิตยสาร France Football
และนักเตะที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย ว่าเราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่การเป็นคนที่ดีกว่าได้เสมอ
ขอเพียงแค่เริ่มทำ และตั้งใจให้มากพอ ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านี้