วันนี้ (22 กันยายน) ที่สมาคมธนาคารไทย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, และศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมหารือกับสมาคมธนาคารไทย โดยมี ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ให้การต้อนรับ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวระหว่างการหารือในหัวข้อ ‘ฝ่าวิกฤต พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยพลวัตใหม่’ ว่า วันนี้ตนและทีมงานเศรษฐกิจต้องขอบคุณกับการต้อนรับที่อบอุ่น ตั้งใจมาพบกับทุกท่านหลังจากที่มีความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล และตนได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการคัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารงานด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลของตน ซึ่งพวกท่านน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว และวันนี้มีความจำเป็นต้องพบปะสถาบันหลักทางเศรษฐกิจ
สัปดาห์ที่แล้วได้เดินทางไปที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย เพราะตนก็ออกจากวงการนี้ไปนาน เมื่อไปถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็ได้พบกับผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งเราก็ได้รับข้อมูลจากผู้ประกอบการที่เป็นประโยชน์มากๆ
อนุทินกล่าวว่า ได้เดินทางไปที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้พบกับผู้ประกอบการ ซึ่งในยุคปัจจุบันต้องอาศัยความผสมผสานระหว่างผู้ประกอบการกับมืออาชีพ ข้อมูลที่ได้รับสร้างประโยชน์ให้กับตนและทีมงานทางเศรษฐกิจ ทั้งแนวทางและความห่วงใย ความเดือดร้อนที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือ ทั้งภาคเกษตร การท่องเที่ยว ภาคบริการต่างๆ โดยที่ทุกคนก็ยังมีเป้าหมายเดียวกันคือ ใช้ทุกความสามารถที่เรามีก้าวไปเป็นศูนย์กลางของอาเซียน เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ประกอบการต้องการไปถึงจุดนั้น เพียงแต่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนอย่างเต็มที่
แล้ววันนี้ก็เป็นจุดสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่ต้องมา เพราะเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจ ก็คือหน่วยงานธุรกิจในระบบการเงิน ระบบการธนาคารทั้งหลาย มาที่นี่อยากให้ทุกคนเปิดใจกันหารือ พวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกล เพราะรัฐมนตรีเศรษฐกิจก็อยู่ในวงการการเงินและการอุตสาหกรรมมาก่อน ตนก็เคยเป็นคนในแวดวงธนาคารมาก่อน
“จริงๆ สลับข้างยังไม่รู้ ใครอยู่ฝั่งรัฐ ฝั่งแบงก์เกอร์มาก่อน ผมดูรายชื่อแต่ละท่าน 4 ท่านแรก ทั้งท่านเอกนิติก็ดี ศุภจี อรรถพล วรภัค ก็อยู่ในวงการการเงิน และวงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งนั้น แต่ผมก็แบงก์เกอร์นะ ผมเริ่มที่ไอเอฟซีที (บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไอเอฟซีที ไฟแนนซ์ จำกัด) ทำเป็นเล่นไปนะ ผมเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อมาก่อน” อนุทินกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังการหารือนั้น นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนเองและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำลังเข้าไปบริหารราชการแผ่นดิน เราไม่เสียเวลาหารือกับสมาคมธนาคารไทย โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่งจากประธานสมาคมและคณะกรรมการบริหาร โดยมีการหารือหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่รัฐบาลมีความห่วงใยและขอรับการสนับสนุนจากสมาคมธนาคารไทย เช่น เรื่องปัญหาหนี้สินของประชาชน หนี้สิน SMEs หนี้ครัวเรือน การขอความร่วมมือในการผ่อนปรนและเร่งให้มีความเท่าเทียมทางการค้า จึงต้องรับฟังความเห็น ความกังวล และข้อห่วงใยของสมาคมธนาคารไทย
อนุทิน กล่าวต่อว่า เราต้องสู้กับการแข่งขันในภูมิภาคด้วย ทำอย่างไรให้ระบบการธนาคารของประเทศไทยที่เคยเป็นผู้นำกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน ทำอย่างไรจะแข่งขันกับตลาดโลกที่มีพื้นฐานของการประกอบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน สิ่งใดที่รัฐบาลจะทำให้ได้ก็เร่งดำเนินการ ตนไม่ค่อยกังวล เพราะหลายคนในทีมเศรษฐกิจเป็นประธานกรรมการผู้จัดการธนาคารเก่า เรื่องพวกนี้ รับไปหมดแล้ว ตนมีหน้าที่เห็นชอบและผลักดันตามที่เอกนิติได้ทำการเสนอขึ้นมา ตนมั่นใจว่าจะนำการหารือในวันนี้ไปสู่การปฏิบัติให้เร็วที่สุด
อนุทิน กล่าวต่อว่า จะเร่งศักยภาพของประเทศไทย เพิ่มมูลค่าในภาคท่องเที่ยว การบริการ Medical Wellness พืชผลทางการเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฮเทคที่ไทยยังมีพื้นที่มากพอที่จะรองรับการขยายอุตสาหกรรม เพื่อขยายขนาดของเศรษฐกิจต่อไป
สำหรับประเด็นที่ห่วงที่สุดในภาคการเงินนั้น เอกนิติ กล่าวเสริมว่า วันนี้ได้หารือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจไทยที่มีปัญหาเยอะ ได้ตกลงร่วมกันในการฟื้นเศรษฐกิจไทยให้เร็วยั่งยืน ฟื้นสั้นให้มีผลยาว เพื่อสัมพันธ์กับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แก้ปัญหาเก่าๆ ที่สามารถทำได้
โดยเฉพาะเรื่องหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัญหาสะสมมานาน และได้รับคำแนะนำที่ดีจากสมาคมธนาคารไทย และจะทำงานร่วมกันเรื่องสภาพคล่อง เพราะ SMEs เป็นหัวใจหลักของผู้ประกอบการไทย จะพยายามให้สภาพคล่องไปถึงเขา ไม่ใช่แก้ปัญหาระยะสั้น แต่จะเตรียมพร้อมไปสู่โลกยุคใหม่ แข่งขันได้เก่งขึ้น พัฒนาทักษะและดูเรื่องการทำธุรกิจ
เนื่องจากที่ผ่านมาตนเองได้ไปที่สภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้พบกับผู้ประกอบการไทยไปรับฟังปัญหา ซึ่งสมาคมธนาคารไทยเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นให้เครื่องจักรเดิน ผู้ประกอบการทำงานได้ดีส่งเสริมไปสู่ธุรกิจใหม่ในเวลาสั้นๆ “QUICK BIG WIN” ต้องรับไปทำการบ้านอีกเยอะ