วันนี้ (15 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นรเศรษฐ์ระบุว่า ภายใน 4 เดือนนี้ สภาผู้แทนราษฎรควรเดินหน้าแก้มาตรา 256 คาดว่า ในช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า น่าจะมีการยื่นร่างข้อเสนอของแต่ละพรรคการเมืองเข้ามา น่าจะรับหลักการวาระ 1 และตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาได้ก่อนปิดสมัยประชุมนี้ ส่วนการเปิดประชุมสมัยหน้าน่าจะบรรจุและพิจารณาวาระ 2-3 เสร็จภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งน่าจะพอดีกับที่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จะสามารถบังคับใช้ได้ และยุบสภาได้ในช่วงต้นปีหน้า
สำหรับคณะกรรมาธิการฯ ได้ผลักดันแนวทางร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นฉบับประชาชน เราศึกษาที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) คุณสมบัติและอำนาจหน้าที่ราว 6-7 เดือน กำลังสรุปเป็นเล่มรายงาน แต่กลับมีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญว่าประชาชนไม่สามารถเลือก สสร. โดยตรงได้ เราเห็นด้วยให้มีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่บริบทตอนนี้คณะกรรมาธิการฯ จะมีโมเดล สสร. นำเสนอให้กับประชาชนและพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อนำไปถกเถียงต่อไป
นรเศรษฐ์ชี้ว่า การที่ประชาชนเลือก สสร. โดยตรงไม่ได้ มีอยู่หลายแนวทาง เช่น การให้ประชาชนเลือกกลุ่มตัวแทนของประชาชนและให้สภาฯ เป็นคนเลือกเข้าไปเป็น สสร. นอกจากนี้ยังมีหลายแนวทางที่คัดเลือก สสร. ยึดโยงกับประชาชน แต่อาจจะไม่ใช่การเลือกโดยตรง เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม โดยจุดยืนของคณะกรรมาธิการฯ เชื่อว่าประชาชนสามารถเลือก สสร. โดยตรงได้ แต่เมื่อความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเช่นนี้ จึงต้องพยายามแก้โจทย์ให้การเดินหน้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แก้ไขต่อไปได้
ด้าน เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างได้โดยตรง สิ่งนี้ไม่ใช่คำวินิจฉัย แต่เป็นความเห็นที่ดักไว้ข้างหน้า รัฐสภามีสิทธิจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ สมาชิกรัฐสภาต้องยืนยันในฐานะที่เป็นเสาหลักอำนาจอธิปไตย ต้องเป็นประภาคารและกำแพงปกป้องสิทธิของประชาชน ไม่ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญลดทอน ระหว่างทางเราจะเห็นว่ากระบวนการทำรัฐธรรมนูญและประชามติพูดกันในเชิงเทคนิค ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลคือ ไม่ควรปล่อยให้กระบวนการไปถึงการทำประชามติ ระหว่างทางจะต้องรณรงค์ให้ข้อมูลกับประชาชนด้วย
เทวฤทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลนี้มีข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาล ก่อนครบ 4 เดือนจะต้องเกิดเวทีและรณรงค์ให้กับประชาชน ในวันแถลงนโยบายเราต้องถามรัฐบาล โดยเฉพาะ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่ามีความจริงใจและแผนการรณรงค์เรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไร ไม่ใช่แค่รอกลไกรัฐสภาและมีประชามติ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปี 2559 ก่อนที่จะมีการทำประชามติ รัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีกระบวนการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้คนไปใช้สิทธิในการออกเสียงประชามติ