ราคาทองคำโลกพุ่งแตะ 3,540 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10,000% หลังจากที่ระบบ Bretton Woods ล่มสลายเมื่อ 54 ปีก่อน ขณะที่การถือครองทองคำในฐานะทุนสำรองโดยรวมของธนาคารกลางทั่วโลก พุ่งสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ถูกใช้เป็นทุนสำรอง ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996
ขาขึ้นของราคาทองคำยังไม่จบลงง่ายๆ หลังจากเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 ในเวลานั้นราคาทองคำยังคงอยู่ที่ราว 2,000 – 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะพุ่งขึ้นมาทำสถิติสูงสุดใหม่ที่กว่า 3,540 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นราว 70%
ราคาทองคำพุ่ง 10,000% หลัง Bretton Woods ล่มสลาย
หากมองย้อนกลับไปช่วงทศวรรษที่ 1960s – 1970s ที่ราคาทองคำถูกตรึงไว้ที่ 35 ดอลลาร์ เท่ากับว่า ณ ปัจจุบันราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 10,000%
15 สิงหาคม 1971 ประวัติศาสตร์การเงินของโลกได้บันทึกไว้ว่า เป็นวัน ‘Nixon’s Shock’ เนื่องจากเป็นวันที่ประเทศสหรัฐฯ ประกาศงดรับแลกเงินดอลลาร์เป็นทองคำ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาณการล่มสลายของระบบค่าเสมอภาค หรือระบบ Bretton Woods นำไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวในปัจจุบัน พร้อมกับราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ราคาทองคำไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน จากประมาณ 20,000 บาทต่อบาททองคำ เมื่อต้นปี 2019 เพิ่มขึ้นมาทำจุดสูงสุดที่ 54,800 บาทต่อบาททองคำ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ล่าสุด วันนี้ (3 กันยายน) ณ เวลา 10.00 น. ราคาขายออกของทองคำไทยปรับตัวขึ้น 850 บาท มาอยู่ที่ 54,150 บาท
De-dollarisation ปัจจัยหลักขับเคลื่อนราคาทองคำ
การทะยานขึ้นของทองคำในปีนี้ได้รับแรงหนุนที่ทรงพลังจากการที่ ธนาคารกลางทั่วโลก ตั้งแต่เอเชียไปจนถึงตะวันออกกลาง ได้เร่งเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้ รัฐบาลต่างๆ จะเข้าซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองไม่ต่ำกว่า 1,000 เมตริกตัน
การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงแนวโน้ม ‘การลดการพึ่งพาดอลลาร์’ (De-dollarisation) ที่ชัดเจนขึ้น ในช่วงเวลาที่สถานะของเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกกำลังถูกบดบังจากทิศทางการคลังที่น่ากังวลของสหรัฐฯ จากหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง และความวุ่นวายทางการเมืองที่กระทบต่อความเป็นอิสระของสถาบันสำคัญอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
จากผลสำรวจความเห็นของธนาคารกลาง 73 แห่งล่าสุด โดยสภาทองคำโลก (World Gold Council) ได้ตอกย้ำภาพดังกล่าว โดยพบว่า 95% ของธนาคารกลางคาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองคำ ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และอีกเกือบ 75% คาดว่าจะลดปริมาณเงินสำรองที่เป็นดอลลาร์ลง
โดยจีนซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ได้ทำการเข้าซื้อทองคำสะสมเป็นรายเดือนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 แล้วในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ธนาคารกลางทั่วโลกแห่สำรองทองคำมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
ข้อมูลจาก Bloomberg ที่รวบรวมโดย ทาวี คอสตา (Tavi Costa) นักกลยุทธ์มหภาคของ Crescat Capital ได้ตอกย้ำถึงแนวโน้มการลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarisation) ที่ชัดเจนขึ้น โดยชี้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกกำลังเร่งสะสมทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1996 ที่มูลค่าการถือครองทองคำของธนาคารกลางต่างประเทศทั่วโลก ได้แซงหน้ามูลค่าการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasurys) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ขับเคลื่อนราคาทองคำ แต่ยังเป็นสัญญาณที่ทรงพลังที่สุดที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสมดุลอำนาจทางการเงินของโลก และความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐที่ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
“ในมุมมองของผม นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับสมดุลครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของโลกที่เราเคยประสบมาในประวัติศาสตร์ยุคใหม่” คอสตาเขียนบนแพลตฟอร์ม X
ภาพ: mathieukor/Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.gold.org/goldhub/data/gold-reserves-by-country
- https://x.com/TaviCosta/status/1960908250980999436
- https://www.euronews.com/business/2025/09/02/gold-surges-to-record-high-as-central-banks-turn-from-dollar-to-bullion
- https://finance.yahoo.com/news/gold-hits-record-as-central-bank-holdings-top-us-treasurys-for-first-time-since-1996-202251724.html
