×

เริ่มต้นใหม่ สินทรัพย์เสี่ยงในไทย

02.09.2025
  • LOADING...

เดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่มีผลต่อภาวการณ์ลงทุน โดยที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานซะทีเดียว มีทั้งเรื่องของต่างประเทศและในประเทศ รวมไปถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองของประเทศไทย ผมจะค่อยๆ เล่าเรื่องไปและอาจจะมีความเห็นบ้างแต่จะมุ่งเน้นไปในเรื่องของการเงิน การลงทุน มากกว่าไปจับประเด็นด้านการเมืองครับ

 

เริ่มจากต่างประเทศ ก็ขอคุยผ่านตลาดหุ้นก็แล้วกันครับ ต้องบอกว่าเทศกาลประกาศผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ต้องยกให้ตลาดหุ้น สหรัฐอเมริกา เพราะผลการดำเนินงานของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ออกมาน่าประทับใจทั้งนั้น เช่น NVIDIA ส่งผลให้ดัชนี Global equity index อย่าง MSCI ACWI index ให้ผลตอบแทนเชิงบวกที่ 3.3% ในเดือน ส.ค. นำโดยตลาดสหรัฐฯ ที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กอย่าง Russell 2000 ให้ผลตอบแทนในระดับ 7.5% ตามมาด้วยกลุ่ม Technology โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนเชิงบวกที่ระดับ 2.8% ใกล้เคียงกับ S&P500 index ที่มีผลตอบแทนเป็นบวกที่ 2.6% แรงจริงๆ ครับ 

 

ในช่วงปลายเดือน สหรัฐฯ ได้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 2 ของปี เพิ่มขึ้น 3.3% จากการเพิ่มขึ้นของการบริโภคภายในประเทศ นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับประเทศที่เน้นการบริโภค อย่าง สหรัฐฯ 

 

ตามมาติดๆ ก็เป็น นโยบายของ Fed ที่เริ่มมีทิศทางเป็นผ่อนคลาย หลังจากการประชุมที่ Jackson Hole ที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed กล่าวว่า อาจปรับท่าทีนโยบายการเงินตามความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลง และระบุว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังมีอยู่จากผลของภาษี reciprocal tariff ที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่ความเสี่ยงฝั่งแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้นชัดเจน และประกอบกับแคนดิเดต ประธาน Fed คนใหม่ก็สนับสนุนให้เริ่มลดดอกเบี้ยไตรมาสละ 0.25% ได้แล้ว จากภาวการณ์จ้างงานที่แย่ลง สรุป ประชุม Fed รอบหน้ามีโอกาสสูงมากที่ Fed จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย 

 

หันมาที่ประเทศจีน ก็ขอมองผ่านตลาดหุ้นจีนอย่างดัชนี CSI300 ที่มีผลตอบแทนเป็นบวกราว 9.5% เนื่องจากนโยบาย China anti-involution ที่มุ่งเน้นในการปรับลดกำลังผลิตส่วนเกินในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักเช่น เหล็ก ปิโตรเคมี เป็นต้น เพื่อยับยั้งการแข่งขันด้านราคาอย่างสุดโต่ง ที่มีการตัดราคากัน พร้อมการส่งเสริมการควบรวมกิจการและปรับโครงสร้างตลาดให้มีคุณภาพขึ้น 

 

โดยภายหลังจากการประกาศนโยบายหลัก ก็เริ่มเห็นการตอบสนองในอุตสาหกรรมหลักต่างๆ เช่น ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีการทยอยลดกำลังผลิต พร้อมกันนี้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมทางจีนมีการลดกำลังผลิตของเหล็กในช่วงปี 2025-2026 เพื่อคุม อุปทานใหม่ 

 

กลับมาที่บ้านเราปัจจัยบวกเยอะมาก เริ่มจาก การผ่านงบประมาณรายจ่ายปี 2026 ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ประกาศ GDP ไตรมาสที่ 2 ของไทยออกมาดีกว่าคาด ขยายตัว 2.8% จากตลาดคาด 2.5-2.7% และข่าวคุณทักษิณ ที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร คดี ม.112 ซึ่งข้อนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่อนุมานตามบรรยากาศการลงทุนว่าเป็นบวกก็แล้วกัน 

 

อย่างไรก็ตามภาวะการลงทุนในประเทศไทยค่อนข้างนิ่ง เพราะรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี คุณแพทองธาร ชินวัตร ประเด็นเรื่องจริยธรรม ในกรณี คลิปเสียงสนทนา กับ ฮุนเซ็น ซึ่งผลออกมาก็ไม่พลิก สรุป หลุด ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ ครม. ก็เหลือแต่อำนาจรักษาการรอหา นายกรัฐมนตรี คนใหม่ วันนั้น ตลาดหุ้น ก็ปรับลงบ้างเพราะความไม่แน่นอน 

 

การลงทุนเดือนกันยายน คงต้องมาดูเรื่องการตามหา นายกรัฐมนตรี คนใหม่ และ หน้าตา ครม.ชุดใหม่จะเป็นอย่างไร แต่ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็น ชื่อ คุณชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย หรือ คุณอนุทิน ชาญวีรกุล จากพรรคภูมิใจไทย หรืออาจจะเป็นคนอื่น ปัจจัยพื้นฐานไม่น่าเปลี่ยนแต่บรรยากาศการลงทุน อาจจะเปลี่ยนทำให้เกิดความผันผวนในระยะสั้นได้ 

 

ซึ่งนักกลยุทธ์ส่วนใหญ่จะมองเป็นโอกาสเข้าลงทุนโดยเฉพาะผู้ที่ชอบสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น อย่างไรก็ตาม บนความผันผวน ก็น่าจะมีข่าวดีในเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย เพราะ กนง. ก็ส่งสัญญาณชัดเจนในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย ด้านเงินเฟ้อก็ยังปรับตัวลงไม่เป็นอุปสรรคต่อการลดอัตราดอกเบี้ย งบประมาณก็อยู่ในช่วงเร่งเบิกจ่าย 

 

ดูแล้วก็น่าจะพอไปไหวครับ 

 

ภาพ: Moment Makers Group/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising