×

อิซัค vs. นิวคาสเซิล ศึกปราสาทไร้ขอบเขต ที่ใกล้ถึงตอนจบ?

20.08.2025
  • LOADING...
อเล็กซานเดอร์ อิซัค

HIGHLIGHTS

  • หลายฝ่ายมองว่าอิซัคก็เดินเกมไม่ดีนัก เพราะการอ้างเรื่องคำสัญญาปากเปล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Verbal agreement หรือ Gentlemen agreement (สัญญาสุภาพบุรุษ) ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย เพราะสิ่งที่มีผลบังคับใช้คือสัญญาที่มีลายเซ็นของอิซัคและสโมสรเท่านั้น
  • ปัญหาคือนิวคาสเซิลไม่ได้ใครมาแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเลียม ดีแลป, ชูเอา เปโดร, มาเธอุส คุนญา, ไบรอัน เอ็มโบโม, อูโก เอคิติเก หรือเบนจามิน เซสโก
  •  “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่จะถูกนำมาใช้และอาจจะมีผลทำให้เกิดการย้ายทีมขึ้นคือการขอขึ้นบัญชีย้ายทีม (Transfer request) ซึ่งจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับทั้งสองฝ่าย
  • มีการมองกันว่าขอให้ผ่านเกมกับลิเวอร์พูลในศึก “มันเดย์ไนต์” ที่กำลังจะถึงไปก่อน และในสัปดาห์สุดท้ายของตลาดนักเตะน่าจะพอมองเห็นทางออกกัน เพราะสำหรับนิวคาสเซิลการรั้งตัวนักเตะที่ไม่มีใจอยู่แล้วไม่มีประโยชน์นัก

ท่ามกลางข่าวการย้ายทีมมากมาย ตอนนี้เราพอจะบอกได้แล้วว่าข่าวการย้ายทีมของ อเล็กซานเดอร์ อิซัค คือ “มหากาพย์” เรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับตลาดการซื้อขายในรอบฤดูร้อนนี้

 

โดยสถานการณ์ล่าสุดเดินมาถึงจุดที่อิซัคกับสโมสรออกแถลงการณ์โต้ตอบกันไปมาอย่างเผ็ดร้อน จนชวนให้ผู้คนที่ตามข่าวมาจนเหนื่อยก็ชักจะมองไม่ออกแล้วว่าเรื่องมันจะลงเอยกันแบบไหน?

 

แต่ในความเป็นจริงเรื่องกำลังมาถึงจุดไคลแมกซ์แล้ว…

 

โดยหลังจากที่อิซัค ซึ่งเก็บตัวเงียบมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อหวอดด้วยการถอนตัวจากเกมนัดอุ่นเครื่องและไม่ยอมเข้าร่วมการเดินทางมาทัวร์เอเชียของนิวคาสเซิลเมื่อเดือนที่แล้ว ได้โพสต์เรื่องราวในมุมมองของตัวเองผ่าน Story บน Instagram ที่ถือว่าพูดค่อนข้างชัด

 

ประเด็นหลักที่กองหน้าขวัญใจหมายเลขหนึ่งของชาวจอร์ดีบอกคือสโมสรได้ “ผิดสัญญา” ที่เคยบอกกันเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องของการย้ายทีม โดยที่เจ้าตัวได้แจ้งต่อนิวคาสเซิลล่วงหน้านานแล้วว่าต้องการที่จะย้ายออกจากเซนต์เจมส์ปาร์ค เพื่อไปสู่สโมสรใหม่ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จที่มากกว่า

 

โดยที่อิซัคยังบอกด้วยว่า “เมื่อความเชื่อมั่น” ได้ถูกทำลายลงไป มันก็ยากที่จะกลับมาร่วมงานกันต่อได้

 

ขณะที่นิวคาสเซิล แถลงจุดยืนของสโมสรเพื่อเป็นการโต้ตอบทันทีด้วยการย้ำว่า “ไม่มีสัญญา” อะไรทั้งนั้น และสโมสรชัดเจนในความภาคภูมิใจของตัวเอง จะไม่มีการปล่อยตัวไปจากทีมจนกว่าที่จะได้รับข้อเสนอที่ดีเพียงพอ ซึ่งยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้

 

 

คำสัญญาปากเปล่า

จากคำพูดของอิซัคแล้วค่อนข้างตรงกับกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่ากองหน้าซึ่งพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดของพรีเมียร์ลีกมีความต้องการที่จะย้ายไปอยู่กับสโมสรใหม่ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

 

โดยจุดสำคัญคือการได้แจ้งกับสโมสรเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และมีการให้คำสัญญา (Promise) ว่าจะเปิดทางให้ย้ายทีมได้

 

ไม่นับที่อิซัคไม่ได้บอกในแถลงการณ์ แต่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าสโมสรเองก็ “บิด” เรื่องของการเสนอสัญญาฉบับใหม่ให้เพราะความตึงเครียดทางการเงินของสโมสรที่ต่อให้แบ็กอัปรายล้นฟ้าแต่มีปัญหาเรื่องรายได้ที่ยังไม่สูงพอทำให้ตอนนี้การบัญชีแทบติดเพดานกฎ Profit and Sustainability Rules (PSR) แล้ว

 

อย่างไรก็ดีหลายฝ่ายมองว่าอิซัคก็เดินเกมไม่ดีนัก เพราะการอ้างเรื่องคำสัญญาปากเปล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Verbal agreement หรือ Gentlemen’s agreement (สัญญาสุภาพบุรุษ) ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย เพราะสิ่งที่มีผลบังคับใช้คือสัญญาที่มีลายเซ็นของอิซัคและสโมสรเท่านั้น

 

พูดง่ายๆ คืออิซัคกระทำผิดต่อสัญญาของตัวเอง ซึ่งยังเหลือระยะเวลาตามสัญญาอีกถึง 3 ปีด้วยกัน และมันก็ส่งผลกระทบต่อตัวของเขาโดยตรง

 

 

ปมปัญหาที่แท้จริง

อย่างไรก็ดีหากย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นของตลาดนักเตะรอบที่ผ่านมา นิวคาสเซิลเองมีความพยายามที่จะหากองหน้าใหม่เข้ามาเสริมทีมหลายรายด้วยกัน

 

ปัญหาคือพวกเขาไม่ได้ใครมาแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเลียม ดีแลป, ชูเอา เปโดร, มาเธอุส คุนญา, ไบรอัน เอ็มเบอโม่, อูโก เอคิติเก หรือเบนจามิน เซสโก ซึ่งเป็นกองหน้าของดีที่ย้ายทีมได้ในฤดูกาลนี้ และเรื่องนี้ที่ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างมันยากลำบากไปหมด

 

เพราะก่อนนี้นิวคาสเซิลเองก็ปล่อยตัวคัลลัม วิลสัน หัวหอกจอมเก๋าออกจากทีมไปเพราะหมดสัญญา และนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถปล่อยตัวกองหน้าคนเดียวที่เหลือในทีมอย่างอิซัค ไปได้อีกตราบใดที่ยังไม่สามารถหาใครสักคนที่จะแทนที่ได้

 

เรื่องนี้สืบย้อนกลับไปได้อีกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ตั้งแต่การอำลาของอแมนดา สเตฟลีย์ อดีตผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นคนนำการเจรจาเทคโอเวอร์สโมสรให้เปลี่ยนมือจากไมค์ แอชลีย์ เจ้าของเก่ามาสู่กองทุน PIF แห่งซาอุดีอาระเบีย ที่ทำให้การทำงานเริ่มประสบปัญหา

 

ขณะที่ผู้อำนวยการสโมสรอย่าง พอล มิตเชลล์ ที่มารับงานเมื่อปี 2024 ก็ตัดสินใจอำลาทีมไปอีกคนในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว ทำให้ตำแหน่งว่างลงและไม่มีคนช่วยในการเจรจานักเตะอย่างเป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่ความวิบัติในช่วงซัมเมอร์นี้

 

นั่นทำให้แม้กระทั่งในตอนนี้ก็ยังประสบปัญหาในการเจรจากับโยอานน์ วิสซา กองหน้าจากเบรนต์ฟอร์ด ซึ่งก็เป็นสถานการณ์แบบเดียวกันกรณีของอิซัค คือทีม “ผึ้งน้อย” ไม่อยากขาย นักเตะก็งอแงขั้นสุด

 

นั่นยิ่งทำให้ยังไม่สามารถปล่อยอิซัคออกจากทีมได้ ต้องจับเป็น “เชลย” ต่อให้นักเตะจะก่อหวอดแค่ไหนก็ตาม และหากอ่านจากแถลงการณ์ล่าสุดนิวคาสเซิลยังเปิดช่องว่า “พร้อมต้อนกลับสู่ทีม” เสมอ

 

 

ทำไมลิเวอร์พูลไม่ทำอะไรเลย?

ในความรู้สึกของคนที่ตามข่าวมาตลอดก็อาจจะรู้สึกสงสัยว่า ในเมื่ออิซัคชัดเจนว่าต้องการย้ายออกมา และทีมที่เขาสนใจและเป็นทีมเดียวที่สนใจรวมถึงมีศักยภาพพอคือลิเวอร์พูล ทำไมแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่เห็นทำอะไรเลย

 

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลได้ลองยื่นข้อเสนอ (หรือพูดให้ถูกคือลอง “แหย่”) ให้กับนิวคาสเซิลแล้วรอบหนึ่งในราคา 110 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการยื่นข้อเสนอที่จะกดราคาให้ต่ำไว้ก่อน แต่จะเปิดช่องต่อรองเพื่อหาตรงกลางร่วมกัน

 

แต่ฟีดแบ็กจากนิวคาสเซิลที่ตอบกลับมาคือท่าทีที่แข็งกร้าว ปฏิเสธข้อเสนอพร้อมยืนยันว่าจะไม่ทำการเจรจาใดๆ อีก

 

ท่าทีดังกล่าวเป็นสิ่งที่ฝั่งลิเวอร์พูลเองก็ไม่ได้คิดว่าจะออกหน้านี้ เพราะ “สัญญาณ” ที่ได้รับตลอดมาคือมีโอกาสในการเจรจากัน ทำให้สโมสรตัดสินใจที่จะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ต่อจนกว่าที่นิวคาสเซิลจะเปลี่ยนท่าทีใหม่ โดยที่ยังพอมีเวลาให้รอจนถึงวันสุดท้ายของตลาดการซื้อขาย

 

จุดยืนของนิวคาสเซิลสำคัญ ซึ่งลิเวอร์พูลให้เกียรติด้วยการไม่แทรกแซงอะไรในทางตรง แต่แสดงออกแบบอ้อมๆ ว่าพร้อมยื่นข้อเสนอเข้าไปรอบใหม่ทันทีที่นิวคาสเซิลบอกว่าพร้อมเปิดทางให้เกิดการเจรจา

 

ดังนั้นจนกว่านิวคาสเซิลจะเปลี่ยนท่าที ลิเวอร์พูลจะไม่ทำอะไรให้เกินเรื่อง พวกเขาจะจ้องอยู่แบบนี้เท่านั้น

 

ถามว่าแล้วไม่จ้องได้ไหม ยื่นเลยได้ไหม คำตอบคือยื่นได้แต่ราคาที่นิวคาสเซิลต้องการที่คาดว่าราว 150 ล้านปอนด์มันสูงกว่าที่ลิเวอร์พูลพร้อมจะจ่าย และไม่มีอะไรการันตีว่ายื่นแล้วจะได้ด้วย

 

อยู่เฉยๆ ให้เขาเคลียร์กันเองก่อน…

 

 

ไพ่ใบสุดท้าย

การสาดโคลนกันไปมาระหว่างอิซัคกับนิวคาสเซิลทำให้หลายคนสงสัยว่าแล้วเรื่องมันจะดำเนินไปอย่างไรต่อ?

 

ตามการวิเคราะห์แล้ว “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่จะถูกนำมาใช้และอาจจะมีผลทำให้เกิดการย้ายทีมขึ้นคือการขอขึ้นบัญชีย้ายทีม (Transfer request) ซึ่งจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับทั้งสองฝ่าย สโมสรแม้จะมีอำนาจตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ แต่หากนักเตะยื่นคำร้องแล้วส่วนใหญ่จะรับเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บไว้

 

เพียงแต่การจะยื่นคำร้องนี้หมายถึงการที่อิซัคจะต้องยอมสละรายได้ส่วนหนึ่งที่พึงได้จากสัญญาที่มีกับสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาเขายังใจเด็ดไม่พอที่จะเลือกทางเดินนี้ และยังไม่แน่ชัดว่าถึงจุดนี้แล้วเขาจะเลือก “หัก” กับสโมสรไปเลยหรือไม่

 

โดยการจะไปถึงจุดนี้ได้ก็ต้องมั่นใจด้วยว่าลิเวอร์พูลจะขยับตัวเพื่อปลดปล่อยเขาเป็นอิสระด้วย ไม่ใช่ปล่อยเคว้งกับนิวคาสเซิลไปแบบนี้

 

 

กฎข้อที่ 17 ของ FIFA

อีกกรณีที่มีการพูดถึงกันล่าสุดคือกฎข้อที่ 17 ที่ว่าด้วยการบังคับฉีกสัญญาของนักฟุตบอลต่อสโมสร ในกรณีที่มีความขัดแย้งกันในเรื่องการโยกย้ายทีม

 

โดยที่มาเป็นการอ้างอิงจากกรณีคดีของ ลาสซานา ดิยาร์รา ที่ประสบปัญหาไม่สามารถหาสโมสรใหม่ได้หลังถูกโลโคโมทีฟ มอสโก ยกเลิกสัญญาในปี 2014 ซึ่งใช้เวลาในการพิจารณายาวนานหลายปีก่อนที่จะมีคำตัดสินว่าอดีตนักเตะเชลซี อาร์เซนอล และเรอัล มาดริดเป็นฝ่ายชนะคดี

 

คดีนี้สำหรับดิยาร์รามีการเรียกร้องค่าเสียหายจาก FIFA และสมาคมฟุตบอลเบลเยียม ที่มีส่วนทำให้เสียเวลาและโอกาสในชีวิตเป็นมูลค่าถึง 65 ล้านยูโรเลยทีเดียว แต่ผลกระทบที่น่าสนใจกว่าคือการปรับเปลี่ยนกฎการย้ายทีมใหม่ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เหมือนจะเปิดช่องให้นักเตะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ซึ่งก็มีการมองกันว่านักฟุตบอลหลายคนแข็งข้อกับสโมสรเยอะขึ้นมาก (วิคเตอร์ ยอเคอเรส, อเลฮานโดร การ์นาโช, วิสซา และอิซัค)

 

แต่ในรายละเอียดแล้วกฎไม่ได้เอื้อให้การ “ฉีกสัญญา” กับสโมสรง่ายขนาดนั้น โดยนอกจากเรื่องของระยะเวลาแล้วยังมีเงื่อนไขแวดล้อมอื่นๆ อีก เช่น จะใช้กฎได้ต่อเมื่อเหลือเวลาแค่ 15 วันก่อนสิ้นสุดฤดูกาล, ต้องอยู่ในสัญญากับสโมสรอย่างน้อย 3 ปี ฯลฯ 

 

พูดง่ายๆคือกฎนี้ยังไม่สามารถใช้ได้ในเวลานี้ และไม่น่าจะถูกนำมาใช้แต่อย่างใด

 

 

คำตอบจะอยู่หลังเกมที่เซนต์ เจมส์ ปาร์ค

สุดท้ายแล้วเรื่องของอิซัคกับนิวคาสเซิลและลิเวอร์พูล เป็นเรื่องที่ยังคลี่คลายไม่ได้

 

เพียงแต่มีการมองกันว่าขอให้ผ่านเกมกับลิเวอร์พูลในศึก “มันเดย์ไนต์” ที่กำลังจะถึงไปก่อน และในสัปดาห์สุดท้ายของตลาดนักเตะน่าจะพอมองเห็นทางออกกัน

 

เพราะสำหรับนิวคาสเซิลการรั้งตัวนักเตะที่ไม่มีใจอยู่แล้วไม่มีประโยชน์นัก ถึงแม้การกล่อมให้กลับมาตั้งใจเล่นอีกครั้งเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ลิเวอร์พูลเองก็เคยทำแบบเดียวกันในกรณีของหลุยส์ ซัวเรซมาแล้ว ไม่ให้ย้ายไปอาร์เซนอลในปี 2013

 

แต่ก็อีกเช่นกันที่ลิเวอร์พูลเองก็เคยต้องตัดสินใจยอมปล่อยตัวเฟร์นานโด ตอร์เรสไปเชลซีในวันสุดท้ายของตลาดฤดูหนาวในปี 2011 เช่นเดียวกัน

 

หรือในปี 1995 นิวคาสเซิล ก็เคยจำใจปล่อยแอนดี โคลให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในราคาสถิติอังกฤษ 7 ล้านปอนด์ (โดยเป็นค่าตัวของคีธ จิลเลสพี ปีกดาวรุ่งที่ย้ายสลับขั้วกันมา 1 ล้านปอนด์)

 

โดยที่จนกว่าเส้นตายตลาดซื้อขายจะปิดตัวลง อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

 

อ้างอิง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising