เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แถลงต่อสื่อหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า อังกฤษจะรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ หากอิสราเอลไม่ดำเนิน “ขั้นตอนที่เป็นรูปธรรม” ในการหยุดยั้งความรุนแรงในกาซาและกลับเข้าสู่กระบวนการสันติภาพตามแนวทางสองรัฐ โดยย้ำว่าการรับรองนี้มีเป้าหมายเพื่อ “สร้างแรงกระเพื่อมสูงสุด” ให้เกิดความเป็นไปได้ของสันติภาพในระยะยาว
ด้านเดวิด แลมมี รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ กล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติ (UN) ว่า “ไม่มีความขัดแย้งระหว่างการสนับสนุนความมั่นคงของอิสราเอลกับการรับรองรัฐปาเลสไตน์” พร้อมเตือนว่าความหวังในแนวทางสองรัฐกำลังลดน้อยลงทุกวัน
ขณะเดียวกัน แคนาดาภายใต้รัฐบาลมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรี ก็ประกาศแนวทางเดียวกัน โดยระบุว่ารัฐบาลออตตาวาจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (United Nations General Assembly – UNGA) เช่นเดียวกับฝรั่งเศสและอังกฤษ โดยให้เหตุผลว่า “ทางการปาเลสไตน์ (Palestinian Authority – PA) แสดงความมุ่งมั่นในการปฏิรูป” และยืนยันว่าจุดยืนของแคนาดาคือการสนับสนุนรัฐอิสระปาเลสไตน์ที่อยู่ร่วมกับอิสราเอลอย่างสันติและปลอดภัย
อย่างไรก็ดี จุดยืนดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรตะวันตกเริ่มสั่นคลอน เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ออกมาประณามการตัดสินใจของแคนาดา และขู่ว่าจะยุติการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ
เสียงตอบรับจากพันธมิตรและโลกอาหรับ
ท่าทีของอังกฤษและแคนาดาได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศในยุโรปและตะวันออกกลาง โดยฝรั่งเศสยืนยันการเดินหน้าในทิศทางเดียวกัน โดยฌอง-โนเอล บาร์โรต์ รัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศส กล่าวว่า “สหราชอาณาจักรได้เข้าร่วมกับฝรั่งเศสในความพยายามผลักดันการรับรองรัฐปาเลสไตน์”
ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน และปาเลสไตน์ ต่างชื่นชมท่าทีดังกล่าว โดยมองว่าเป็น “ก้าวสำคัญสู่การสถาปนาแนวทางสองรัฐ” ขณะที่ผู้นำสกอตแลนด์กล่าวเสริมว่าการรับรองรัฐปาเลสไตน์ “ไม่ควรมีเงื่อนไข” และควรควบคู่ไปกับการคว่ำบาตรอิสราเอลหากยังเดินหน้าความรุนแรงต่อไป
อิสราเอลโต้ การรับรองคือ “รางวัลแก่การก่อการร้ายของฮามาส”
เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรี ประณามการตัดสินใจของอังกฤษว่าเป็น “การให้รางวัลแก่การก่อการร้ายของฮามาส” พร้อมเตือนว่าการยอมรับรัฐปาเลสไตน์ในสถานการณ์ปัจจุบันคือการเปิดช่องให้ “รัฐญิฮาด” ตั้งอยู่บนชายแดนของอิสราเอล ซึ่งจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อยุโรปในอนาคต โดยเฉพาะต่ออังกฤษเอง
กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลเสริมว่า ความเคลื่อนไหวของอังกฤษและพันธมิตรเป็น “การบ่อนทำลายความพยายามในการหยุดยิงและช่วยเหลือตัวประกันที่ยังถูกควบคุมในกาซา”
แรงกระเพื่อมใหม่บนเวทีโลกท่ามกลางวิกฤตกาซา?
ในเวลานี้ สถานการณ์ในฉนวนกาซ่าที่เผชิญปัญหาความอดอยาก ความหิวโหย ภาวะทุพโภชนาการที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากในประชาคมระหว่างประเทศ
ความกังวลดังกล่าวได้นำไปสู่การผลักดันวาระการรับรองรัฐปาเลสไตน์ตามแนวทางสองรัฐซึ่งเข้าสู่เวทีการพิจารณาของสหประชาชาติ โดยมีประเทศสำคัญที่นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาคือซาอุดีอาระเบียและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการพยายามร่วมกันของสองกลุ่มหลักในการหยุดวิกฤตในฉนวนกาซ่าและกลุ่มประเทศอาหรับการผลักดันให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ในครั้งนี้
ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ในมุมมองของ ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองว่า ท่าทีของประเทศตะวันตก ในฝั่งยุโรป เราได้เห็นว่าฝรั่งเศสนำแสดงท่าทีว่าจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ รวมถึงอังกฤษและแคนาดาด้วย การเคลื่อนไหวนี้เป็นผลมาจากสถานการณ์ที่วิกฤตมากขึ้นในฉนวนกาซ่า ซึ่งปรากฏเชิงประจักษ์ว่ามีผู้คนล้มตายจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน นานาชาติเองก็ร่วมกันกดดันอิสราเอลให้ยอมรับรัฐปาเลสไตน์ พร้อมกับมีการกดดันกลุ่มฮามาสให้วางอาวุธและยุติการปกครองฉนวนกาซ่าเพื่อเปิดทางให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ใหม่ขึ้นมาเช่นเดียวกัน ผศ.ดร. มาโนชญ์ อธิบายว่านี่คือความพยายามที่จะทั้ง “โน้มน้าว” และ “กดดัน” ไปในเวลาเดียวกัน
ซึ่งประเทศอาหรับสำคัญหลายประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ กาตาร์ เริ่มออกมาเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสวางอาวุธ แรงกดดันจากกลุ่มอาหรับนี้มีผลต่อฮามาสพอสมควร เนื่องจากในครั้งนี้กลุ่มประเทศอาหรับเหล่านี้มีความเป็นเอกภาพมากขึ้นในการเรียกร้อง
ผศ.ดร. มาโนชญ์ มองว่า ฮามาสจำเป็นต้องพิจารณาข้อเรียกร้องนี้ เพราะถูกบีบด้วยสภาวะความอดอยากในวิกฤตกาซ่า หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ในกาซ่าจะรุนแรงหนักขึ้น ทำให้คนเสียชีวิตจากความหิวโหยและขาดอาหารอย่างเพียงพอ
ขณะที่ความต้องการของประเทศอาหรับคือต้องการให้มีการถ่ายโอนอำนาจการจัดการเลือกตั้งไปให้ Palestinian Authority (PA) ซึ่งชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะในฉนวนกาซ่ายังไม่ได้ตอบรับเต็มที่ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีกลุ่มฮามาส ทั้งนี้เพราะมองว่าหากฮามาสชนะการเลือกตั้งเหมือนเมื่อปี 2006 ปัญหาจะไม่จบ เนื่องจากอิสราเอล สหรัฐฯ รวมถึงกลุ่ม Fatah ใน West Bank จะไม่ยอมรับ ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฮามาสควรยุติบทบาท วางอาวุธ และยุติการปกครองกาซ่า
อีกทั้ง ซาอุดิอาระเบียเองยังคงแสดงจุดยืนที่หนักแน่นว่าจะไม่ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลตราบใดที่ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนที่กดดันฮามาสและโน้มน้าวอิสราเอลไปพร้อมๆ กัน
ดังนั้น ท่ามกลางการรับรองรัฐปาเลสไตน์ในครั้งนี้ของหลายชาติตะวันตก และสัญญาณความเป็นเอกภาพที่ชัดเจนขึ้นในกลุ่มประเทศอาหรับ สะท้อนว่า ทั้งหมดมีความต้องการที่เป็นรูปธรรม เพราะฮามาสและชาวปาเลสไตน์มีประสบการณ์ว่าการเจรจาตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่มีมาตั้งแต่ข้อตกลงออสโลในปี 1993-1994 ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น กลุ่มอาหรับจึงระบุว่าครั้งนี้จะต้องมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมและมีหลักประกันว่ารัฐปาเลสไตน์จะเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่การเจรจาหรือพูดคุยกันไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเคลื่อนไหวจากฝั่งตะวันตกในการรับรองรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงกระแสของการโดดเดี่ยวอิสราเอลที่ชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังไม่มีหลักประกันว่าการรับรองนี้จะกดดันให้อิสราเอลยอมรับรัฐปาเลสไตน์ได้มากน้อยแค่ไหน หากหยุดอยู่แค่การรับรอง เพราะอิสราเอลอาจไม่สนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราบใดที่สหรัฐฯ ยังคงสนับสนุนจุดยืนของอิสราเอลอยู่และจะใช้สิทธิ์ยับยั้ง (Veto) ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council – UNSC)และในเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาติ
อ้างอิง:
- https://www.aljazeera.com/news/2025/7/31/trump-threatens-trade-deal-after-canada-moves-towards-recognising-palestine
- https://www.reuters.com/world/middle-east/canada-plans-recognize-palestinian-state-raising-allies-pressure-israel-2025-07-31/
- https://edition.cnn.com/2025/07/29/middleeast/britain-palestinian-state-starmer-intl-latam?iid=cnn_buildContentRecirc_end_recirc&recs_exp=up-next-article-end&tenant_id=related.en