“ผมไม่สงสัยแม้แต่นิดเลยว่าในปีหน้าทีมของเราจะดีขึ้นอย่างแน่นอน” หลุยส์ เอ็นริเก เคยบอกไว้โดยระบุเหตุผลที่น่าสนใจ “ข้อเท็จจริงก็คือเรามีผู้เล่นที่พร้อมจะไปที่ไหนก็ได้ตามที่เขาอยากจะไป และนั่นทำให้ผมควบคุมสถานการณ์บางอย่างไว้ไม่ได้”
“ปีหน้าผมจะควบคุมทุกอย่างได้หมดอย่างแน่นอนโดยไม่มีข้อยกเว้น”
คำพูดจากปากและใจของนายใหญ่ “เปแอสเช” ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริงเมื่อ ปารีส แซงต์-แชร์แมง แชมป์ลีกเอิงและแชมป์ยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก โชว์ฟอร์มระดับ “Perfect” ไล่ถล่มเรอัล มาดริดขาดลอยถึง 4-0 ในศึกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (FIFA Club World Cup)
โดยหนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในสนามเกมนี้คือคนที่ก้าวขึ้นมาแทนที่คนที่เอ็นริเก บอกว่าไม่สามารถควบคุมได้
อุสมาน เดมเบเล นักเตะที่เวลานี้ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลงานมันถึงระดับ “บัลลงดอร์” แล้ว
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เปแอสเชและเดมเบเล เปลี่ยนไป?
“หลุยส์ เอ็นริเก ได้สร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมา” แอนดรอส ทาวน์เซนด์ อดีตปีกลอยลมดีกรีทีมชาติอังกฤษ ซึ่งนั่งวิเคราะห์เกมให้กับรายการสตูดิโอของ DAZN เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลรายการนี้
ขณะที่แกเร็ธ เบล อดีตนักฟุตบอลเจ้าของสถิติการย้ายทีมแพงที่สุดในโลกที่นั่งวิเคราะห์เกมด้วยกันเสริมว่า “พวกเขาดูคล้ายทีมที่จะครองโลกไปอีกสักระยะ พวกเขายังหนุ่มยังแน่นมาก อึด แล้วก็ดูกระหายที่จะสร้างความอับอายให้กับคู่แข่ง”
จริงของเบล เพราะแม้แต่เรอัล มาดริด สโมสรเจ้าของแชมป์ยุโรปสูงสุด 15 สมัย ทีมที่มองตัวเองว่าเป็น “Superior” อยู่ในระดับที่เหนือกว่าสโมสรทุกแห่งในโลก อยากได้ใครก็ต้องได้ สุดท้ายเมื่อเจอทีมที่สุดยอดจริงๆ อย่างเปแอสเชในเวลานี้
พวกเขาไม่ได้แค่แพ้ แต่แพ้อย่างย่อยยับอับอาย แค่ 24 นาทีเกมก็จบแล้วเพราะโดนนำขาดลอยถึง 3-0 และมาบวกเพิ่มได้อีกประตูจาก กอนซาโล รามอส กองหน้าตัวสำรองที่ฉลองประตูด้วยท่าดีใจ “กดจอยเกม” เพื่อรำลึกถึง ดีโอโก โชตา รุ่นพี่ในทีมชาติโปรตุเกสผู้ล่วงลับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
Perfect Eleven
สิ่งที่น่าสนใจคือเปแอสเช ทีมแปลงร่างเป็นสุดยอดสัตว์ประหลาดได้ในเวลาเพียงแค่ปีเดียว หรือหากพินิจจริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเกิดขึ้นจริงๆ จังๆ หลังเข้าปี 2025 เป็นต้นมา
จุดสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่หลายคนรู้ อย่างการอำลาทีมของ คิเลียน เอ็มบัปเป กองหน้าซูเปอร์สตาร์เบอร์หนึ่ง เจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดของสโมสร ที่อยู่กับทีมจนครบสัญญาเพื่อจะย้ายไปร่วมทีมในฝันอย่างเรอัล มาดริด ได้ใส่ “ชุดขาว” สมใจ
ปกติแล้วการเสียผู้เล่นระดับเวิลด์คลาส ที่ว่ากันว่าเป็นนักเตะในระดับ Generational talent คือเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดของยุคสมัยไปแบบนี้ถือเป็นความสูญเสียร้ายแรงอย่างมากไม่ว่าจะกับสโมสร อะไรก็ตาม
แต่สำหรับกรณีของเปแอสเชแล้วมันแตกต่างออกไป เพราะมันกลับเป็นการปลดล็อกพวกเขาทั้งทีม
ถึงแม้ว่าครึ่งฤดูกาลแรกจะยังดูกระท่อนกระแท่น แต่การได้ตัว ควิชา ควารัตสเกเลีย สุดยอดปีกระดับโลกมาจากนาโปลี ด้วยสนนค่าตัว 70 ล้านยูโร เป็นตัวปลดชนวนให้กับเปแอสเชได้อย่างน่ามหัศจรรย์
ปีกจอมเลื้อยวัย 24 ปีชาวจอร์เจีย เข้ามาทำให้องค์ประกอบในแนวรุกของเปแอสเชสมบูรณ์ กลายเป็น “สามเหลี่ยมมหัศจรรย์” ร่วมกับ เดซิเร ดูเอ ไอ้หนูดาวรุ่งที่มีลีลาการกระชากลากเลื้อยสุดสะเด่า
และอุสมาน เดมเบเล ผู้ที่เคยอยู่ใต้เงาของเอ็มบัปเปมาโดยตลอด ก็ “อีโวลูชัน” จนกลายเป็นกองหน้าแบบ “False 9” ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
โดยที่องค์ประกอบอื่นในทีมลงตัวดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแดนกลางที่นำมาโดย วิตินญา, ชูเอา เนเวส หรือ ฟาเบียง รุยซ์ กับไลน์แบ็กโฟร์สุดแกร่ง และผู้รักษาประตูอย่างจานลุยจิ ดอนนารุมมา
เปแอสเชจึงไม่ต่างอะไรจากคำว่า “Perfect Eleven” เก่งทั้งทีม
คนที่เอ็มบัปเปเป็นไม่ได้
ก่อนหน้านี้มีวิดีโอไวรัลตัวหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมาก
วิดีโอดังกล่าวเป็นการปิดห้องพูดคุยกันตัวต่อตัวระหว่าง เอ็นริเก กับเอ็มบัปเป เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ในสนามที่โค้ชชาวสเปนคาดหวังว่ากองหน้าที่เก่งที่สุดของฝรั่งเศสจะทำให้กับทีม
ใจความสำคัญของการพูดคุยนั้นคือการที่เอ็นริเกอยากเห็นเอ็มบัปเป พยายามช่วยทีมให้มากกว่านี้ในเรื่องของเกมรับ ซึ่งไม่ใช่การสั่งให้วิ่งลงมาช่วยเกมรับในแดนตัวเอง แต่เป็นการพยายามวิ่งเพรสซิงตั้งแต่แดนบน
ด้วยความเร็วและออร่าของเขา ไม่ว่ากองหลังคู่แข่งจะเป็นใครก็ต้องแอบพะวงอย่างแน่นอน โดยเอ็นริเก ถึงกับเปรียบเทียบกับ ไมเคิล จอร์แดน ตำนานนักบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลว่าสิ่งที่ “MJ” ทำไม่ได้มีแค่การทำแต้ม แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือการเป็น “ผู้นำ” ในเวลาเล่นเกมรับต้านทานคู่ต่อสู้
การนำของจอร์แดน ทำให้ทุกคนในทีมต้องฮึดตาม ไม่ยอมให้คู่แข่งทำแต้มง่ายๆ และเกมรับคือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ
อาจจะน่าเสียดายสำหรับเอ็นริเกที่เอ็มบัปเป ทำไม่ได้และไม่เคยทำอะไรแบบนั้นให้กับเขาเลย
แต่ในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา ประตูที่ 2 ที่เปแอสเชทำได้คือประตูในแบบที่โค้ชชาวสเปนอยากจะเห็นมาโดยตลอด และคนที่ทำให้เขาได้คือเด็มเบเล ที่เพรสซิงกดดันจนกองหลังประสบการณ์สูงอย่างอันโตนิโอ รูดิเกอร์ หลอนจนเตะคืนหลังวืดลั่นเป็นประทัด
สุดท้ายเดมเบเลฉกเอาบอลได้ก่อนจะเร่งสปีดลากเข้าไปเลือกมุมยิงผ่าน ติโบต์ กูร์ตัวส์ ได้อย่างสบายๆ
ประตูสู่บัลลงดอร์?
ประตูดังกล่าวของเดมเบเล และฟอร์มการเล่นโดยรวมของเขาทำให้เวลานี้แทบไม่มีข้อสงสัยใดๆ ถึงคำถามว่า “ใครเก่งที่สุดตอนนี้”
ก่อนหน้านี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ระเบิดฟอร์มเปรี้ยงกับลิเวอร์พูลในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล ก่อนที่ ลามีน ยามาล เด็กมหัศจรรย์ของบาร์เซโลนาจะเขย่าโลกทั้งใบ จนคนพูดกันว่าเล่นแบบนี้ “บัลลงดอร์” (Ballon d’Or) จะไปไหนได้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนคนที่ทุกคนยอมรับและยกย่องมากที่สุดคือเดมเบเลไปแล้ว
ตัวเลขสถิติผลงานในฤดูกาลนี้ของเดมเบเล – ซึ่งยังไม่จบเพราะยังเหลือนัดชิงชนะเลิศสโมสรโลกกับเชลซี – ทำไป 35 ประตู กับอีก 16 แอสซิสต์ จากการลงสนามไป 52 นัดในฤดูกาล 2024/25
ตัวเลขนี้ถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ เพราะก่อนหน้านี้ เดมเบเล เคยทำประตูมากที่สุดในฤดูกาลเดียวเพียงแค่ 14 ประตู และนั่นตั้งแต่สมัยอยู่กับบาร์เซโลนาด้วย
และเมื่อมองย้อนกลับไปในฤดูกาลแรกของเขากับเปแอสเช (2023/24) ซึ่งถูกซื้อมาจากบาร์ซาด้วยค่าตัว 43.5 ล้านปอนด์ กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสทำไปเพียงแค่ 6 ประตูกับอีก 14 แอสซิสต์เท่านั้น
โดยที่เขาเป็น “ศูนย์กลาง” ของทีมทั้งหมด การเล่นที่ทั้งดุดันแต่เต็มไปด้วยจินตนาการ ดูเพลิดเพลินของเปแอสเช คือกระจกสะท้อนตัวตนของกองหน้าวัย 28 ปีรายนี้
นาสเซอร์ อัล-เคไลฟี ประธานสโมสรเปแอสเช ให้ความเห็นก่อนเกมกับเรอัล มาดริดว่า “ถ้าเขายังไม่ได้รางวัลอีก ผมว่าบัลลงดอร์มีปัญหาแล้วล่ะ”
การเปลี่ยนแปลงจากภายใน
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกิดสุดยอดนักเตะคือการย้ายออกไปของเอ็มบัปเป้
นอกจาก “ตำแหน่ง” ในทีมจะเปิดกว้างทางสะดวกมากขึ้นแล้ว เอ็นริเกยังได้แสดงความเชื่อมั่นในตัวของลูกทีมว่าเขาดีเกินพอที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่ในฐานะสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมได้อย่างสบาย
ในช่วงฤดูร้อนปีกลาย เอ็นริเก ได้เรียกเดมเบเล เข้ามาคุยพร้อมชี้ให้เห็นว่าการจากไปของเอ็มบัปเป้ หมายถึงจำนวนประตูที่ทีมจะหายไปในสัดส่วนที่มาก แต่เขาเชื่อว่าเดมเบเลจะสามารถทดแทนได้ เพียงแค่การปรับ “วิธีคิด” นิดหน่อย
จากคนที่คิดว่าตัวเองเล่นเป็นปีก มีหน้าที่ในการสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อน กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวขึ้นนิดหน่อยหากพบว่ามีโอกาสทำประตูได้ โดยที่สตาฟฟ์ได้เสริมว่าหากเขา “เน้น” ในเรื่องของการจบสกอร์มากขึ้น เปลี่ยนโอกาสที่มีให้เป็นประตูได้ ไม่ใช่แค่เขาจะยิงประตูได้มากขึ้น เป็นผลงานส่วนตัว แต่ทีมก็จะได้อานิสงส์ตามไปด้วย
โดยนับจากนั้นมา เดมเบเลได้ถูกปรับบทใหม่เป็นกองหน้าที่เล่นในแบบ False 9 มีอิสระในการเล่นสูง แต่ไม่ได้ห่วงแค่การเล่นเกมรุก แต่ยังเล่นเกมรับได้อย่างดุดัน ไล่เพรสไม่มีหมด เหมือนที่แสดงให้เห็นในเกมนัดชิงแชมเปียนส์ลีก กับอินเตอร์ มิลาน และในเกมล่าสุดที่ เรอัล มาดริด กลายเป็นเหยื่อของเขาอีกทีม
ดีกว่าบาร์เซโลนายุคทอง?
คำถามสนุกๆ ที่ชวนคิดและถกเถียงกันคือเวลานี้นอกจากเปแอสเช ได้ยกระดับตำแหน่ง “สุดยอดทีม” ของยุคสมัยไปอีกระดับแล้ว พวกเขาเข้าขั้นทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลตำแหน่งที่ทุกคนจะคิดถึงบาร์เซโลนาในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา หรือยัง
เพราะเปแอสเชทีมนี้สมบูรณ์แบบในแทบทุกจุด ไม่มีจุดอ่อนให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้เล่น วิธีการเล่น สไตล์ ไปจนถึงระเบียบวินัย
เป็นทีมที่ไม่มีใครอยากเจอไปแล้ว
“เขา (เอ็นริเก) ได้กำหนดมาตรฐานใหม่ไปแล้ว” เบลที่อาจจะไม่ทันบาร์ซายุคของเป๊ป กวาร์ดิโอลา แต่ทันบาร์ซายุค “MSN” ที่กุนซือชาวสเปนพาคว้าเทรเบิลแชมป์ในปี 2015 (ซึ่งหนึ่งในเกมมหัศจรรย์คือการกลับมาเอาชนะเปแอสเชในรอบรองชนะเลิศ)
“พวกเขาเป็นผู้นำสู่ยุคสมัยใหม่ ตั้งบาร์เอาไว้สูงสำหรับทุกทีมในเกมฟุตบอลที่จะต้องพยายามทั้งเลียนแบบและพยายามจะหยุดทีมนี้ให้ได้”
ต่อคำถามว่าทีมนี้ดีที่สุดตลอดกาลหรือยังนั้น พูดกันแบบแฟร์ๆ ยังไม่ถึงเวลา เพราะเปแอสเชต้องพิสูจน์อย่างน้อยอีกสักระยะ
และอย่าลืมว่าศึกชิงแชมป์สโมสรโลกยังไม่จบ พวกเขาต้องเจอกับเชลซี ทีมที่เก่งไม่ธรรมดาและเดาทางยากเหมือนกันในนัดชิงชนะเลิศ
ชนะเชลซีให้ได้ก่อน ค่อยมาคุยกันใหม่ก็ยังไม่สายเรื่องนี้!
อ้างอิง