AI จะเก่งกว่ามนุษย์ในทุกด้านภายใน 10-20 ปี และสำหรับงานหลายอย่าง ปัจจุบัน AI มีประสิทธิภาพเหนือกว่ามนุษย์ประมาณ 99% และหากธุรกิจไม่ใช้ AI มีความเสี่ยงที่จะถูกคู่แข่งทำลายลงภาย 3-5 ปี
บนเวที The Time is Now: AI-First Revolution for Thai SMEs คู่มือใช้ AI สร้างธุรกิจกำไรโตกระโดด ภายในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ จังหวัดขอนแก่น
ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ ViaLink และ Siametrics Consulting ฉายภาพโลกของธุรกิจยุค AI ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง พร้อมย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ในการปรับใช้แนวคิด AI-First เพื่อเปลี่ยนความท้าทายเป็นข้อได้เปรียบ
ทำไมตอนนี้ถึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ AI สามารถนำมาใช้เพื่อการเติบโตได้อย่างไร พร้อมแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางของผู้ประกอบการส่วนตัวเพื่อยืนยันถึงพลังของ AI
การปฏิวัติ AI-First ทำไมต้องตอนนี้?
ดร.ณภัทรเริ่มต้นด้วยคำถามเรียบง่ายที่ว่า “มีความฝันไหม?” “เคยมีไอเดียดีๆ ที่ยังไม่ได้ลองหรือเปล่า?” “แชทเป็นไหม?” และ “มีเงินสักพันนึงไหม?” คำถามเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเน้นย้ำถึงโอกาสที่เข้าถึงได้ในการทำความฝันทางธุรกิจให้สำเร็จ ซึ่งตรงข้ามกับข้ออ้างทั่วไป เช่น “ไม่มีเวลาทำ” “ไม่มีคน” “เหนื่อย” หรือ “ยังไม่เก่งพอ”
คำถามเหล่านี้เป็นการเน้นย้ำว่า AI สามารถที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดมากมายในอดีต และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการค้นหาคำตอบในยุคนี้
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท Duolingo ธุรกิจสอนภาษาออนไลน์ ที่เปลี่ยนแปลงมาสู่ ‘AI-first’
Duolingo ซึ่งใช้เวลา 12 ปีในการพัฒนาหลักสูตรภาษา 100 หลักสูตร แต่ด้วย AI พวกเขาสร้างหลักสูตรใหม่ 150 หลักสูตรในเวลาเพียง 1 ปี ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า และคาดการณ์กำไรในปี 2025 จะเกิน 150 ล้านดอลลาร์ จากที่ขาดทุน 59.6 ล้านดอลลาร์ในปี 2022
AI ที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกทำให้คนเราถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามการนำ AI มาใช้
- กลุ่มทะยาน คนกลุ่มนี้กำลังทำงานหรือทำธุรกิจราวกับอยู่ในปี 2030 แล้ว
- กลุ่มดิ้นรน คนกลุ่มนี้ใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT เพียงเพื่อความอยู่รอด ทำให้ยังคงลอยตัวอยู่ได้แต่ไม่เติบโต มีปริมาณงานและรายได้เท่าเดิม
- กลุ่มถูกทิ้ง คนกลุ่มนี้ยังคงเพิกเฉยและทำงานในรูปแบบเดิมๆ พวกเขาไม่รอดเชิงเศรษฐกิจ เพียงแค่ยังไม่รู้ตัว
ดร.ณภัทรเน้นย้ำว่า “ทำไมต้องตอนนี้?” โดยชี้ให้เห็นว่าข้อจำกัดและข้ออ้างทั่วไปในการไม่ใช้ AI กำลังถูกทำลายลงภายใน 3-5 ปี เช่น ‘งบน้อย’ ปัจจุบันสามารถเริ่มต้นได้ด้วยหลักหมื่นหรือแม้แต่หลักพันบาท หรือ ‘ไม่มีฝ่ายไอที’ ปัจจุบันมีระบบพร้อมใช้ เจ้าของสามารถจัดการเองได้ หรือ ‘กลัวไม่เข้าใจ’ ปัจจุบันมีโซลูชัน No-Code และ AI ผู้ช่วยส่วนตัว หากธุรกิจไม่ลงมือใช้ AI “คู่แข่งกำลังใช้มันทำลายคุณ”
AI Growth Kit สำหรับธุรกิจที่พร้อมรับอนาคต
ดร.ณภัทร เสนอ ‘AI Growth Kit’ ที่มองผ่าน 3 มุม
มุมที่ 1 การเติมความฉลาดให้ตัวเองและทีม
ซึ่ง AI ช่วยให้เรารอบรู้ขึ้นในเวลาน้อยลง นี่เป็นสิ่งสำคัญเพราะความล้มเหลวทางธุรกิจมักเกิดจากเจ้าของหรือผู้จัดการขาดความรู้ที่รอบด้านหรือตัดสินใจผิดพลาด
AI ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและนักวิจัยในราคาถูก บางครั้งเพียงไม่กี่พันบาทต่อเดือน เช่น ChatGPT Plus ที่ราคา 200 ดอลลาร์ต่อเดือน การสอบถามที่ซับซ้อน เช่น การวิจัยตลาด สามารถให้คำตอบที่มีคุณภาพได้ภายในไม่กี่นาที คล้ายกับการมีพนักงานที่มีการศึกษาสูงหรือที่ปรึกษา
หรือการใช้ AI อย่าง NotebookLM ของ Google ที่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาขนาดยาว เช่น วิดีโอ YouTube 3 ชั่วโมง ได้ภายในไม่กี่วินาที สกัดแนวคิด และช่วยให้ผู้ใช้สามารถสนทนากับเนื้อหานั้นได้ สิ่งนี้ช่วยลบข้ออ้างที่ว่าไม่มีเวลาเรียนรู้
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การปลดล็อกเวลาที่ไม่จำกัด เพราะเวลาทบต้นเหมือนเงินทุน
“เวลาเป็นสิ่งมีค่าและสามารถทบต้นได้เหมือนเงินทุน การประหยัดเวลาช่วยให้สามารถทำกิจกรรมเชิงกลยุทธ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ตัวอย่างเช่น การสร้างข้อเสนอทางธุรกิจ สิ่งที่เคยใช้เวลา 4-5 วันและมักถูกปฏิเสธ ตอนนี้สามารถทำได้ ภายในไม่เกิน 15 นาที โดยใช้ AI เช่น Claude
มุมที่ 2 สร้างระบบงาน (ที่ดี) สักที
การสร้างระบบงานหลังบ้านที่แข็งแกร่งมีความสำคัญต่อความยั่งยืนของธุรกิจ และเพื่อลดการพึ่งพาความพยายามส่วนตัวของเจ้าของ
อย่างระบบประเมินพนักงานแบบกำหนดเอง โดยใช้ AI ให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการบริหารทีมฟุตบอลระดับโลก แล้วนำแนวคิดมาปรับใช้เพื่อสร้างการประเมินที่เหมาะกับบริษัทที่ปรึกษาด้านข้อมูล
มุมที่ 3 ให้ AI มาทำงาน ‘ปวดประสาท’ ให้เป็นอัตโนมัติ
ดร.ณภัทร แนะนำ ‘Manuel’ ซึ่งเป็น AI ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับ “งานปวดประสาท” คืองานซ้ำๆ ที่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดองค์กร ซึ่งรวมถึงการประมวลผลเอกสารต่างๆ
ประโยชน์ของการทำหน้าที่เหล่านี้ให้เป็นอัตโนมัติด้วย AI ได้แก่
- กระแสเงินสดที่ดีขึ้น ได้รับเงินเร็วขึ้น จ่ายเงินอย่างชาญฉลาด ควบคุมได้
- การจัดการสินค้าคงคลังที่ง่ายขึ้น หลีกเลี่ยงสินค้าขาดสต็อก ลดสินค้าส่วนเกิน รู้ว่ามีอะไรอยู่เท่าไหร่
- การขายที่ชาญฉลาด ใบสั่งซื้อที่เป็นระเบียบมากขึ้น ข้อผิดพลาดน้อยลง การส่งมอบที่รวดเร็วขึ้น
- การจัดซื้อที่รวดเร็วขึ้น ทำให้การซื้อซับซ้อนน้อยลง เร่งการอนุมัติ ทำให้ผู้ขายเป็นไปตามเป้าหมาย
ตัวอย่างธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ ที่เคยคำนวณค่าคอมมิชชันการขายด้วยตนเอง
ก่อนใช้ AI พนักงานจะดึงข้อมูลการขาย, ดึงไฟล์, คำนวณใน Excel, สร้างไฟล์, และส่งอีเมล กระบวนการนี้มีแนวโน้มที่จะเกิด ข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ, ความเสี่ยงของการทุจริต, และใช้เวลาเต็มวันของพนักงานระดับ Supervisor ต่อคน
เมื่อใช้ AI มีการออกแบบกระบวนการทำงานให้ AI เข้ามาจัดการ AI รวบรวมข้อมูลการขายจากระบบ POS, สรุปค่าคอมมิชชัน, และส่งเพื่อขออนุมัติภายในไม่กี่นาที
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลดเวลาทำงานลง 20 เท่า, ลดปัญหาการปฏิบัติงานลงมากกว่า 50% และเจ้าของเห็นข้อมูลและสรุปได้เร็วขึ้น โซลูชันทั้งหมดนี้เป็นแบบ ‘No-Code’ และให้ ‘ROI ที่รวดเร็ว’ คือเห็นผลตอบแทนภายในไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน ไม่ใช่เป็นปี
ถอดบทเรียนจากยาดม นัว Nose
ดร.ณภัทร ได้แบ่งปันความท้าทายส่วนตัว จากการเริ่มต้นธุรกิจใหม่จากศูนย์ภายในหนึ่งเดือน เพียงลำพัง โดยใช้ AI เท่านั้น ในสาขาที่ไม่คุ้นเคย
แนวคิดสำหรับธุรกิจ ‘นัว Nose’ หรือ ยาดม นัว Nose ซึ่งเป็นแบรนด์ยาดม เกิดขึ้นจากธุรกิจที่ปรึกษา โดยให้ยาดมแก่ลูกค้าที่กำลังประสบปัญหาด้านข้อมูล และพวกเขาก็ชอบ โดยตั้งเป้าที่จะสร้างยาดมที่ทันสมัย ไม่ใช่ ‘แก่’ หรือ ‘หรูหรา’ แต่เป็นยาดมที่ ‘สนุก, ตลก, และเข้าถึงได้’ สำหรับผู้คนที่ต้องเผชิญชีวิตที่ยากลำบาก
ชื่อแบรนด์ ‘นัว Nose’ มาจากการรวมคำว่า ‘นัว’ ในภาษาไทย หมายถึง การกอดหรือความใกล้ชิด เข้ากับ ‘Nose’ ซึ่งเน้นย้ำถึงประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส
ดร.ณภัทร สร้างแนวคิดธุรกิจทั้งหมดในเวลาเพียง 10 นาที โดยการสนทนากับ AI ใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงตั้งแต่แนวคิดจนถึงการสั่งผลิต ส่วนที่ใช้เวลานานที่สุดคือการจดทะเบียนชื่อบริษัท ‘กลิ่นความเจริญ’
รวมทั้งใช้ AI ให้อ่านหนังสือกลยุทธ์เล่มหนึ่ง แล้วนำแนวคิดเหล่านั้นมาเขียนใหม่สำหรับแบรนด์ยาดม โดยปรับใช้กลยุทธ์ Blue Ocean แทนที่จะแข่งขันใน Red Ocean ของยาดมแบบดั้งเดิมด้วยการขายประโยชน์ทางการแพทย์
นัว Nose เข้าสู่ Blue Ocean โดยการขาย ‘ความผูกพันทางอารมณ์’ ‘คุณค่าทางอารมณ์’ และ ‘สุขภาพที่ดี’ โดยเพิ่มอารมณ์ขันและการใช้งานสำหรับช่วงเวลาที่ยากลำบาก
AI ยังถูกใช้ใน ด้านการดำเนินงาน เช่น Customer Journey และ Data Journey ไมว่าจะเป็นการกำหนดโปรโมชั่นและราคาสินค้าใน Google Sheets, การสั่งซื้อและการตรวจสอบการชำระเงิน, เชื่อม Line OA กับ DB & CRM, และเชื่อมต่อผ่าน API ไปยังระบบ Fulfillment
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ถูกใช้เป็นนักวิทยาศาสตร์เพื่อคำนวณส่วนผสมทางเคมีสำหรับกลิ่นใหม่ๆ โดยทำการวิจัยและให้สัดส่วนน้ำมันที่แม่นยำ หรือการทดสอบตลาด ด้วยการสร้างลูกค้าปลอมหลายพันคนภายในการจำลอง Stargate เพื่อทดสอบกลิ่นก่อนการผลิต โดยได้รับข้อเสนอแนะเช่น กลิ่นเหมือนน้ำอบไทยโบราณ หรือชาวต่างชาติชอบ รวมทั้งการค้นหาทำเล โดย AI ช่วยระบุทำเลที่เหมาะสมที่สุด แม้กระทั่งแนะนำหมายเลขบูธเฉพาะในงาน
โดยสรุปแล้ว ดร.ณภัทร เชื่อว่าในยุคที่คำถามและคำตอบมีความสำคัญ ‘มุมมอง’ ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน
“AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นข้อได้เปรียบ เพราะบางครั้ง ระยะห่างระหว่างแนวคิดและผลลัพธ์นั้นสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ”