×

จุดทดสอบประชาธิปไตยอเมริกัน เมื่อกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของทรัมป์ กลายเป็นเครื่องมืออำนาจ?

13.06.2025
  • LOADING...
โดนัลด์ ทรัมป์ระหว่างประกาศนโยบายตรวจคนเข้าเมืองในสหรัฐ

นโยบายปราบปรามผู้อพยพของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง แต่มุ่งเป้าเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่ใช้ ‘ผู้อพยพ’ เป็นเครื่องมือสร้างศัตรูร่วม เพื่อระดมเสียงสนับสนุนจากฐานอนุรักษนิยมของเขา

 

รัฐบาลทรัมป์ให้เหตุผลว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยของประชาชน และเป็นภาระของระบบสาธารณูปโภค แม้รายงานวิจัยอิสระหลายฉบับจะชี้ว่า ‘ไม่มีหลักฐานแน่ชัด’ ว่าการอพยพผิดกฎหมายเชื่อมโยงกับอาชญากรรมโดยตรง

 

นโยบายของทรัมป์ ทำไมถึงบุกจับ-ใช้ทหาร?

 

ทรัมป์ใช้คำขวัญอย่าง ‘America First’ และ ‘Build the Wall’ เป็นหัวใจในการรณรงค์หาเสียง ตั้งแต่ปี 2016 และนำไปสู่การออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่เพิ่มอำนาจการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง เช่น การส่งเจ้าหน้าที่ไปยังแนวชายแดนด้านใต้ การขยายความร่วมมือกับตำรวจท้องถิ่น และการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ของ ICE ทั่วประเทศ

 

จุดที่เป็น ‘เป้าหมายโดยตรง’ คือเมืองที่ถูกจัดว่าเป็น ‘เมืองหลบภัย’ (Sanctuary Cities) เช่น ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ก ซึ่งปฏิเสธที่จะร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลกลางในการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย

 

รัฐบาลทรัมป์ระบุว่า มีเมืองหรือเขตปกครองกว่า 500 แห่งที่เข้าข่ายขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมือง และประกาศใช้มาตรการหลายรูปแบบ ทั้งการตัดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง การฟ้องร้องผู้บริหารท้องถิ่น ไปจนถึงการเผยแพร่รายชื่อเพื่อกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย

 

นอกจากมาตรการทางกฎหมาย ทรัมป์ยังอาศัยอำนาจจากกฎหมาย Insurrection Act ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าอายุกว่า 200 ปี เพื่อส่งทหารเข้าควบคุมพื้นที่ที่มีการประท้วงต่อต้านนโยบายตรวจคนเข้าเมือง แม้หลายฝ่ายจะมองว่านี่คือการ “ทำให้การประท้วงกลายเป็นภัยความมั่นคง” และอาจละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

 

ภายใต้วาระนี้ รัฐบาลยังขยายศูนย์กักตัวผู้อพยพ เพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่ ICE และสนับสนุนความร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น แม้บางเมืองจะยืนยันชัดเจนว่าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายนี้

 

อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ดำเนินอยู่ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป หลายรัฐยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลาง และมีคำสั่งระงับการตัดงบประมาณออกมาแล้วบางส่วน ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลกลางขาดความโปร่งใสในการกำหนด ‘เกณฑ์’ การเป็นเมืองหลบภัย และทำลายหลักความร่วมมือแบบสหพันธรัฐ

 

แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อไป

 

การเมือง | กฎหมาย | สังคม | ภาพลักษณ์ระดับโลก

 

นโยบายตรวจคนเข้าเมืองของทรัมป์ ไม่ได้สะท้อนเพียงแนวคิด ‘บังคับใช้กฎหมาย’ แต่กำลังกลายเป็นจุดทดสอบโครงสร้างประชาธิปไตยอเมริกัน ตั้งแต่ดุลอำนาจรัฐ-รัฐบาลกลาง ระบบกฎหมาย ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ไปจนถึงภาพลักษณ์สหรัฐฯ บนเวทีโลก

 

การเมืองแบ่งขั้วลึกลง และ ‘ตุกติก’ ในอนาคต

 

อ. ดร.ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า แม้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินเสถียรภาพของรัฐบาลจากกรณีนี้ แต่ชัดเจนว่าสังคมอเมริกันกำลัง ‘แตกออกเป็นสองขั้ว’ อย่างรุนแรง ทั้งในโซเชียลมีเดียและในสภาคองเกรส โดยมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการเด็ดขาด และฝ่ายที่มองว่ารัฐบาลใช้อำนาจเกินขอบเขต

 

ขณะที่ ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิจัยประจำ German Institute for Global and Area Studies เสริมว่า นโยบายเนรเทศของทรัมป์กลายเป็นเครื่องมือหาเสียงทางการเมือง ที่ผู้สนับสนุนหลายคน “ไม่ได้เลือกจากอุดมการณ์” แต่เลือกเพราะ “ไม่พอใจรัฐบาลไบเดน” ส่งผลให้การเมืองอเมริกันเปลี่ยนจาก ‘โหวตเพื่อสนับสนุน’ กลายเป็น ‘โหวตประท้วง’ ซึ่งบ่งบอกถึงความสิ้นหวังในระบบการเมืองโดยรวม

 

และหากสถานการณ์ดำเนินต่อไป แนวโน้มที่จะเกิด ‘การตุกติก’ ในการเลือกตั้งก็ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะการแต่งตั้งบุคคลที่สนับสนุนทรัมป์เข้าสู่ตำแหน่งสำคัญในรัฐที่ผู้ว่าการเป็นรีพับลิกัน ดร.จันจิรา มองว่าแม้ภายใน 2 ปี (เลือกตั้งกลางเทอม) อาจยังไม่เห็นผล แต่ใน 4 ปีข้างหน้า ความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

เมื่อหลักนิติธรรมกำลังถูกขยับเส้น

 

อ. ดร.ปองขวัญ ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้ ‘Insurrection Act’ ในการสั่งการ National Guard หรือกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ เข้าควบคุมการประท้วง โดยไม่ได้รับการร้องขอจากรัฐ ถือเป็นการใช้อำนาจของรัฐบาลกลางแทรกแซงอำนาจท้องถิ่น ซึ่งเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ 

 

เหตุการณ์นี้สะท้อนพฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการประท้วง Black Lives Matter ปี 2020 ที่ทรัมป์ใช้ National Guard เช่นเดียวกัน ซึ่งในตอนนั้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

 

สิ่งนี้สะท้อนการใช้อำนาจฝ่ายบริหารกลางที่แทรกแซงอำนาจท้องถิ่นโดยไม่ผ่านการร้องขอจากรัฐ ถือเป็นจุดเสี่ยงในเชิงกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

 

อย่างไรก็ตาม อ. ดร.ปองขวัญ เสริมว่า ศาลรัฐบาลกลางจึงกลายเป็นจุดตัดสำคัญ แต่ล่าสุดศาลตัดสินแล้วว่าให้ National Guard กลับไปเป็นอำนาจของทางการรัฐท้องถิ่น ดังนั้นอาจสบายใจไปได้เปลาะหนึ่งว่าประธานาธิบดีในอนาคตจะไม่สามารถใช้กำลังกับประชาชนได้ง่ายๆ แบบนี้ภายใต้กรอบนี้ ซึ่งจะกลายเป็น “บรรทัดฐานทางกฎหมาย” และจะไม่มีผลเป็นพื้นฐานในระยะยาว 

 

ส่วนอีกมิติที่น่ากังวลคือการ ‘ผลักเส้น’ ของระบบถ่วงดุลอำนาจที่เป็นหัวใจของประชาธิปไตยอเมริกัน ดร.จันจิรา ชี้ว่าทรัมป์กำลังขยับเส้นอำนาจของประธานาธิบดีทีละนิด ผ่านการใช้นโยบายที่ละเมิดสิทธิ แทรกแซงศาล หรือเพิกเฉยต่อบทบาทของสภา แม้ไม่ใช่รัฐประหารแบบฉับพลัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างประชาธิปไตยโดยรวม

 

ขณะเดียวกัน ดร.จันจิรา อธิบายว่า นโยบายของ ICE ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ‘ละเลยหลักนิติธรรม’ อย่างสิ้นเชิง โดยมีการกำหนด ‘โควตาเนรเทศวันละ 3,000 คน’ โดยไม่ต้องการหลักฐานจากตำรวจ ไม่เปิดโอกาสให้แสดงตน และไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม

 

ดร.จันจิรา ใช้คำว่า ‘ความอำเภอใจระดับสูง’ ในการอธิบายสภาพที่ประชาชนไม่รู้ว่าตนเองจะถูกจับเมื่อใด

 

จากความกลัว สู่ความโกรธ และการแตกแยกเชิงอารมณ์

 

อ. ดร.ปองขวัญ วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ปัจจุบันกำลังผลักดัน “รัฐให้กลายเป็นผู้เผชิญหน้ากับประชาชน” โดยเฉพาะเมื่อคำสั่งอนุญาตให้ National Guard ใช้กำลังกับผู้ชุมนุมถูกออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งอารมณ์ของคนในตอนนี้กำลังเปลี่ยนจากความกลัว เป็นความโกรธ ฮึกเหิม และต้องการสู้กลับ

 

นอกจากนี้ ความไม่ไว้วางใจที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้อพยพ ไม่ได้จำกัดแค่คนที่เข้าเมืองผิดกฎหมายเท่านั้น แต่ขยายไปถึงผู้ที่มีสถานะถูกกฎหมาย และแม้แต่คนที่เป็นพลเมืองสหรัฐฯ ก็เริ่มตั้งคำถามว่าตนเองจะปลอดภัยจริงหรือไม่

 

ในขณะที่ ดร.จันจิรา ชี้ว่า การจับคนที่ไม่ได้เป็นอาชญากรจริงๆ เช่น พนักงานร้านอาหาร หรือแม้แต่พลเมืองสหรัฐฯ ที่ถือสองสัญชาติทั้งอเมริกันและเม็กซิกัน ทำให้แม้แต่ผู้สนับสนุนทรัมป์บางส่วนเริ่มตั้งคำถามกับความยุติธรรมในนโยบายนี้ 

 

ประชาชนจำนวนมากเริ่มรู้ว่า “ตนไม่ต้องการอะไร” แต่ “ไม่รู้ว่าจะเลือกอนาคตแบบใด” ซึ่งเป็นภาวะที่เต็มไปด้วยความสับสนและความสิ้นหวังทางการเมือง 

 

จากผู้นำโลก สู่ผู้ใช้ทหารควบคุมประชาชน

 

Amnesty International ได้ออกแถลงการณ์ประณามการส่งทหารเข้าคุมสถานการณ์ในลอสแอนเจลิส โดย พอล โอไบรเอน ผู้อำนวยการบริหารของ Amnesty International สหรัฐฯ ระบุว่า 

 

“นี่ไม่ใช่การปกป้องชุมชน แต่เป็นการบดขยี้ผู้คัดค้านและสร้างความหวาดกลัว ทหารติดอาวุธไม่ควรอยู่ในพื้นที่อาศัยของเรา” 

 

รายงานของ Amnesty ยังระบุอีกด้วยว่า การจู่โจมของ ICE และการใช้กำลังทหารในการปราบปรามการประท้วง ล้วนมีรากฐานมาจาก การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ การละเมิดสิทธิอย่างเป็นระบบ และการใช้กลไกกฎหมายเป็นเครื่องมือกดทับทางการเมือง พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์ยุติการส่งทหาร ยุติการเนรเทศโดยไม่เป็นธรรม และสร้างระบบตรวจคนเข้าเมืองที่มีความเป็นธรรม มีมนุษยธรรม และส่งเสริมศักดิ์ศรีของทุกคน 

 

สหรัฐฯ ในโลกที่เปลี่ยนไป 

 

นโยบายคนเข้าเมืองภายใต้รัฐบาลทรัมป์ กำลังขยับจากการเป็น ‘ประเด็นนโยบาย’ ไปสู่การเป็น ‘เครื่องมืออำนาจ’ หรือไม่ 

 

ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนอาจมองว่า ทรัมป์คือผู้นำที่กล้าตัดสินใจ ทำจริง จับจริง เนรเทศจริง ฝ่ายตรงข้ามกลับมองว่านี่คือการทำลายสถาบันสิทธิมนุษยชนและลดทอนคุณค่าของประชาธิปไตย 

 

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนบนเวทีโลกกำลังถูกตั้งคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ทรัมป์จะเดินหน้าถึงไหน ประชาชนจะยอมรับความเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่ หรือจะลุกขึ้นโต้กลับด้วยคำว่าสิทธิและเสรีภาพ คงต้องรอดูกันต่อไป 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising