หลังจากทั่วโลกปั่นป่วนกับนโยบายภาษีนำเข้าของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ล่าสุดก็มีเซอร์ไพรส์ด้วยการเปรยว่าจะเรียกเก็บภาษีจากภาพยนตร์ที่ถ่ายทำนอกอเมริกาถึง 100% นั่นหมายความว่าพิษภาษีกำลังลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้าไม่เว้นแม้แต่ตลาดสะสมงานศิลปะที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี
ก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกายกเว้นภาษีสินค้าบางประเภท รวมถึงงานศิลปะ ซึ่งหมายถึง ภาพวาด ภาพแกะสลัก ภาพพิมพ์ ประติมากรรม วัตถุที่มีคุณค่าทางโบราณคดี และของโบราณที่มีอายุเกิน 100 ปี แต่นโยบายภาษีใหม่ได้สร้างความสับสนในอุตสาหกรรมศิลปะ จนต้องพยายามทำความเข้าใจกฎระเบียบใหม่และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการซื้อขายและขนส่งงานศิลปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ตลาดศิลปะโลกเฟื่องฟูจากการไหลเวียนของชิ้นงานอย่างเสรี อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในอาวุธทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน อย่างเช่นในยุคทรัมป์ 1.0 ในปี 2019 มีการกำหนดภาษีนำเข้างานศิลปะจากจีนในช่วงสั้นๆ ที่ 15% ต่อมามีการตกลงทางการค้าทำให้ภาษีลดลงเหลือ 7.5% โดย สหรัฐอเมริกาและจีนมีส่วนแบ่งการตลาดงานศิลปะทั่วโลกรวมกันประมาณ 60%
ดังนั้น ความขัดแย้งระหว่างสองเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อการซื้อขายงานศิลปะทั่วโลก โดยเฉพาะในรอบใหม่ที่เริ่มลามไปสู่ชาติที่เคยคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดาและเม็กซิโกที่ถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 25% ไปก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นในระยะสั้นๆ แต่ตัวแทนจำหน่ายหลายรายก็ได้เลื่อนหรือยกเลิกแผนการจัดแสดงผลงานศิลปะและชะลอการนำเข้าผลงานศิลปะของสหรัฐฯ มายังแคนาดาไปแล้ว เพราะหากการยกเว้นภาษีงานศิลปะจบลง ราคาของงานศิลปะอาจพุ่งสูงขึ้น 25%
ขณะที่แกลเลอรีในยุโรปก็กำลังร้อนๆ หนาวๆ กับการเก็บภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป 20% ที่ไม่รู้ว่าจะรวมเอาผลงานศิลปะเข้าไปไว้ด้วยหรือเปล่า จนอาจทำให้นักสะสมชาวอเมริกันลังเลที่จะซื้อผลงานศิลปะจากยุโรป ส่วนสหภาพยุโรปก็ส่งสัญญาณว่าจะตอบโต้หากการเจรจาล้มเหลว ขณะที่สหราชอาณาจักรที่ไม่ได้อยู่ในสหภาพยุโรปก็อาจโดนภาษีนำเข้างานศิลปะจากสหรัฐฯ ในอัตราพื้นฐาน 10% ซึ่งอาจส่งผลให้การค้าขายงานศิลปะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลดลง
อีกส่วนที่ยังไม่ชัดเจนคือการคิดอัตราภาษีว่าจะขึ้นอยู่กับประเทศต้นกำเนิดของผลงาน สถานที่ผลิตผลงานศิลปะนั้นๆ สัญชาติของศิลปินกันแน่ ซึ่งธรรมชาติของตลาดไม่ชอบความไม่แน่นอนเมื่อรวมเข้ากับความผันผวนทางเศรษฐกิจหลังจากการประกาศนโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์ที่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของ 500 มหาเศรษฐีของโลกลดลง 208,000 ล้านดอลลาร์ในวันเดียว ก็อาจทำให้่เหล่านักสะสมงานศิลปะผู้มั่งคั่ง ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของตลาดชะลอการซื้อลง
ตลาดศิลปะออนไลน์จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่?
จริงอยู่ว่าตลาดศิลปะออนไลน์ช่วยเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้านการขนส่งและภาษีอยู่ดี แม้แพลตฟอร์มต่างๆ จะมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายและนักสะสมมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากงานจัดแฟร์ที่ต้องนำงานศิลปะชิ้นนั้นๆ เข้าประเทศ แต่การจัดส่งงานศิลปะจริงไปยังนักสะสมยังคงต้องเจอกับภาษี ซึ่งหมายความว่าแม้แต่ธุรกรรมออนไลน์ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาทางการค้าได้
จนถึงตอนนี้นักสะสมและผู้ค้ากำลังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการซื้อขาย โดยหันมาให้ความสนใจกับงานศิลปะและของเก่าที่มาจากแหล่งในประเทศมากขึ้น หรือเลื่อนการซื้อขายออกไปจนกว่าสถานการณ์จะชัดเจน ส่วนแกลเลอรีและบริษัทประมูลก็เริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ประเมินระบบโลจิสติกส์และสถานที่ขายใหม่ เนื่องจากการซื้อขายงานศิลปะข้ามพรมแดนต้องเสียภาษีศุลกากร ผู้ขายและผู้ซื้อบางรายเลือกที่จะจัดเก็บงานศิลปะในคลังสินค้าปลอดภาษี (freeports) หรือฝากขายผลงานในเมืองต่างๆ นอกสหรัฐอเมริกาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ยอดขายจากการประมูลงานระดับไฮเอนด์ในช่วงต้นปี 2025 ยังคงแข็งแกร่งสะท้อนให้เห็นว่านักสะสมบางรายไม่ได้หวั่นไหวกับภาษีของผลงานชิ้นเอก ส่วนนักสะสมที่หวังลงทุนระยะยาวก็เห็นโอกาส ในช่วงตลาดซบเซาคว้าผลงานดีๆ ในราคาถูกถือเอาไว้ แล้วรอขายในสภาวะปกติ โดยผลกระทบส่วนใหญ่กลับไปตกอยู่ที่กลุ่มตลาดกลางที่มีมูลค่าตั้งแต่หมื่นหรือหลักแสนดอลลาร์ อาจเห็นการอ่อนตัวลงของราคาที่ราว 20% เนื่องจากภาษีนำเข้า
สรุปแล้วผลกระทบที่แท้จริงของนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อตลาดศิลปะยังคงไม่แน่นอน และอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ตลาดศิลปะจึงต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวได้ แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทาย โดยผู้เล่นในตลาดกำลังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และมีความหวังว่าปัญหาทางการค้าจะได้รับการแก้ไขในที่สุด
ภาพ: Pressmaster / Shutterstock
อ้างอิง: