นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ เราได้ดูเกมสนุกๆ ของฟุตบอลโลกมาเยอะทีเดียวนะครับ
ลองคิดย้อนกลับไปดูเอาเกณฑ์หัวใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมชอบตั้งแต่เกมระหว่าง โปรตุเกสเสมอกับสเปน 3-3, โคลอมเบียแพ้ญี่ปุ่น 1-2, เยอรมนีชนะสวีเดน 2-1, อิหร่านเสมอโปรตุเกส 1-1, เกาหลีใต้ชนะเยอรมนี 2-0, ฝรั่งเศสเฉือนอาร์เจนตินา 4-3, เบลเยียมสร้างปาฏิหารย์แซงญี่ปุ่น 3-2 และคืนก่อนหน้านี้ เบลเยียมล้มบราซิล 2-1
แต่ไม่มีเกมไหนที่เราจะได้เห็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของ 11 ผู้เล่นในสนาม และผู้เล่นคนที่ 12-13-14 ที่อยู่ขอบสนามเหมือนในเกมระหว่าง รัสเซียกับโครเอเชีย อีกแล้ว
ทั้งๆ ที่มันเป็นเกมที่ไม่มีใครคาดคิดหรือคาดฝันว่าจะเป็นเกมที่สามารถทำให้หัวใจแฟนฟุตบอลทั่วโลกเต้นระรัวได้ถึงขนาดนั้น
ตลอด 120 นาทีของเกมที่ ฟิชต์ สเตเดียม ในเมืองโซชิ ทั้งรัสเซียและโครเอเชีย ต่างงัดทุกอย่างที่มีเพื่อที่จะเป็นฝ่ายที่กำชัยชนะเอาไว้ให้ได้
รัสเซีย พวกเขาด้อยกว่าในเชิงลูกหนังจึงเตรียมการมาเล่นอย่างเจียมตัว อดทน สู้ตามแท็กติกที่นายใหญ่ สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ วางกลหมากเอาไว้ ซึ่งในช่วงครึ่งแรกก็ถือว่าสู้ได้อย่างน่าดูชม ไล่บด อัด ซัด จน ‘ตราหมากรุก’ ที่ว่าเชิงบอลแน่ๆ มีไปไม่เป็นเหมือนกัน
ระหว่างครึ่งแรกเรายังได้เห็นประตูที่ส่งเข้าประกวดรางวัลปุสกัส อวอร์ด หรือรางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำปีนี้ได้เลยจาก เดนิส เชรีเชฟ อีซ้ายฟ้าลั่นที่เริ่มจากการเป็นตัวสำรองก่อนจะกลายเป็นขวัญใจและกำลังสำคัญที่รัสเซียขาดไม่ได้
แต่ประตูขึ้นนำของ เชรีเชฟ มีอายุแค่ 8 นาทีเท่านั้นเมื่อ โครเอเชีย มีดีพอที่จะตีเสมอได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการเข้าทำที่แม่นยำ และความฉลาดของ อังเดรจ์ ครามาริช ที่หาพื้นที่ให้กับตัวเองได้อย่างฉลาด ทั้งๆ ที่อยู่ในวงล้อมของกองหลังรัสเซีย 4-5 คน
ลูกโหม่งของ ครามาริช ทำให้ทุกอย่างยังเท่าเทียมกันเมื่อจบครึ่งแรก และนำไปสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นไปอีกในครึ่งหลัง
คราวนี้ โครแอต แก้เกมมาได้ดีทำให้เล่นในทรงบอลของตัวเองได้ดีขึ้น แต่รัสเซีย ถึงจะโดนต้อนติดมุมอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่ยอมโดนซัดร่วงง่ายๆ
และจุดนี้เองที่ผมประทับใจกับเชอร์เชซอฟ กุนซือที่ดูผิวเผินเหมือนคุณลุงธรรมดาๆ แต่ในแง่ของการจัดการทีมแล้วไม่ธรรมดา
เชอร์เชซอฟ ไม่ลังเลที่จะแก้เกมทันทีที่รู้สึกว่ารัสเซียกำลังเสียเปรียบ โดยส่ง อเล็กซานเดอร์ เยโรคิน ลงมาแทน อเล็กซานเดอร์ ซาเมดอฟ ตั้งแต่ยังไม่ครบ 10 นาทีของครึ่งหลัง
ระหว่างนั้น ซลัตโก ดาลิช นายใหญ่โครเอเชียเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า แก้เกมกลับด้วยการส่ง มาร์เซโล โบรโซวิช ลงมาแทน อิวาน เปริซิช ซึ่งจังหวะก่อนหน้านั้นพลาดการได้ประตูแบบเหลือเชื่อเมื่อลูกยิงในกรอบเขตโทษไปชนเสา
หลังจากนั้นทั้ง เชอร์เชซอฟ และ ดาลิช ต่างก็ผลัดกันแก้เกมปรับกลยุทธ์ทุกอย่างตามที่เห็นหน้างาน
มันอาจจะไม่ใช่กลเม็ดทางแท็กติกที่ละเอียดยิบจนทำให้สายนักวิเคราะห์ศาสตร์ลูกหนังถึงกับฟินเหมือนได้ดู เป๊ป กวาร์ดิโอลา หรือ โชเซ มูรินโญ นั่งแก้ทางบอลกัน แต่มันก็ชวนให้คิดถึงความรู้สึกของวันวานในยุคสมัยที่เรามักจะได้เห็น ‘กุนซือ’ รุ่นเก๋าคอยประลองสมองเหมือนเล่นหมากรุกกันที่ข้างสนาม
เอ็งกินม้า ข้ากินขุน เอ็งถอย ข้ารุก เอ็งรุก ข้าเดิน
โดยที่ระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือด ก็เกิดเหตุชวนดราม่าขึ้นเมื่อ ดาเนียล ซูบาซิช ผู้รักษาประตูโครแอต เกิดได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง
จังหวะนั้น ซูบาซิช เหมือนจะเล่นต่อไม่ไหว และโครเอเชีย ก็เพิ่งจะเปลี่ยนผู้เล่นครบ 3 คนไปก่อนหน้านั้นไม่กี่อึดใจ
ทางเลือกของโครเอเชีย มีแค่ 2 อย่างในเวลานั้น คือยิงปิดเกมให้ได้ในเวลา หรือพยายามต้านทานไว้ไม่ให้รัสเซีย หาโอกาสยิงเข้ากรอบให้ได้ในช่วงก่อนหมดเวลา
รัสเซียก็ดันหาจังหวะยิงได้จริงๆ ครับ จากสโมลอฟ เฟดอร์ สโมลอฟ ซึ่งตัดสินใจยิงลักไก่จากเกือบสุดเส้นหลังแบบเต็มเหนี่ยว แต่ ซูบาซิช ก็เซฟได้ ทำให้โครเอเชียยังอยู่ในเกมและต้องเข้าสู่ช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
ถึงตรงนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
และสิ่งที่เราได้เห็นในการต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาทีคือการต่อสู้ด้วยใจจริงๆ ของนักเตะทั้งสองทีมที่ไม่มีการยอมกันแม้แต่น้อย ขณะที่กองเชียร์สองฝ่ายพยายามปลุกเร้าอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งโค้ชอย่างเชอร์เชซอฟ ก็พยายามเป็นผู้นำเชียร์ไปด้วยคน
โดยที่ความน่ารักอีกอย่างคือตลอดทั้งเกมเราไม่ได้เห็นการเล่นนอกเกม นอกกฎกติกา การถ่วงเวลา การหาเรื่อง การพุ่งล้ม การกลิ้งเป็นลูกขนุน การตัดสินที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรืออะไรต่างๆ นานาที่ไม่น่าดูเลย
มันจึงเป็นเกมที่นับว่าควรค่าแก่คำว่า The Beautiful Game อย่างแท้จริงแล้ว
แต่เราได้มากกว่าที่ปรารถนาครับ เพราะได้เห็นอีก 2 ประตูที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกและครึ่งหลังของการต่อเวลา โดยโครเอเชีย ได้ประตูแซงขึ้นนำ 2-1 จาก โดมาโกจ์ วิดา ในนาทีที่ 105 และประตูนี้ทำท่าเหมือนจะเป็นประตูชัยของเกมแล้ว แต่มันไม่จบแค่นั้น
รัสเซีย ที่เหมือนจะถอดใจกลับยังไม่ถอดใจ และพวกเขาตีเสมอได้สำเร็จจากการโหม่งของ มาริโอ เฟอร์นานเดซ ก่อนหมดเวลาแค่ 5 นาที
ความรู้สึกเหมือนเทพีแห่งโชคจะหันมายิ้มหวานให้แก่ชาติเจ้าภาพครับ
แต่เปล่า – เทพีแสนกลหันไปยิ้มให้แก่โครเอเชีย ที่ชนะในการดวลจุดโทษเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน และเป็นชาติที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่เอาชนะการดวลจุดโทษได้ 2 นัดติดต่อกันในฟุตบอลโลกต่อจาก อาร์เจนตินา ที่เคยทำได้ในปี 1990
กลายเป็นว่าสุดท้ายรัสเซีย ต้องถูกหยุดเส้นทางเอาไว้เพียงแค่นี้ครับ ซึ่งถ้าถามใจก็รู้สึกว่าน่าเสียดาย เพราะตลอดรายการพวกเขาสู้ได้อย่างน่าประทับใจเกือบทุกนัดที่ลงสนาม เรียกว่าทำได้ดีเกินความคาดหมายไปมาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงช่วงก่อนรายการจะเริ่มที่ใครต่อใครต่างพากันหยามหยันว่าเป็นทีมที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติรัสเซีย
ผลงานของพวกเขามีส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงบรรยากาศของฟุตบอลโลกเอาไว้ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม
อย่างไรก็ดีการตกรอบนี้ถึงจะน่าเจ็บปวด แต่ไม่มีอะไรที่รัสเซียต้องเสียใจแล้ว
พวกเขาทำดีที่สุด ต่อสู้ได้อย่างน่ายกย่อง เป็นวีรบุรุษในสนามตัวจริง
สำหรับโครเอเชีย ถึงจะสะบักสะบอมเหลือเกินในเวลานี้ แต่พวกเขาก็สมควรได้รับเสียงปรบมือไม่ว่าจะต่อชั้นเชิงลูกหนังหรือพลังจิตพลังใจที่แสดงให้เห็นถึงเลือดนักสู้และธาตุทรหดที่หากไม่มีทั้งสองอย่าง ไม่มีทางที่พวกเขาจะชนะเจ้าภาพที่แข็งแกร่งได้
เกมนี้เรายังได้เห็นภาพที่น่าประทับใจมากมายครับ ไม่ว่าจะเป็นภาพของนักเตะรัสเซีย ที่ฮึดตามเสียงเชียร์ปลุกเร้าของนักเตะคนที่ 12 ที่ส่งกำลังใจให้ผ่านการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงในอากาศที่กระทบตรงที่หัวใจ
ภาพการเซฟเป็นพัลวันของ ซูบาซิช ทั้งที่ขาเจ็บและไม่น่าจะเคลื่อนไหวในท่าทางแบบนั้นได้
ภาพของลูกา โมดริช ที่วิ่งไล่กวดบอลเป็นระยะทางเกือบ 50 หลา ทั้งๆ ที่เข้าสู่ช่วงของการต่อเวลาพิเศษ
และอีกมากมายหลายหลากนั้นล้วนเป็นภาพแห่งความทรงจำที่ควรค่าแก่การจดจำ
ในฐานะเกมที่น่าจะเป็น ‘ที่สุด’ ของฟุตบอลโลก 2018
เกมที่ควรค่าแก่การบันทึกใส่กล่องความทรงจำเอาไว้ตลอดชีวิต