วันนี้ (10 มีนาคม) ที่อาคารรัฐสภา อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงในชายแดนใต้ หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
อังคณาระบุว่า หากเปรียบเทียบในทุกปีของช่วงเดือนรอมฎอน มีการพูดคุยว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย 2-3 ปีที่ผ่านมาในช่วงเดือนรอมฎอน จะไม่มีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ปีนี้เข้าเดือนรอมฎอนได้สัปดาห์เดียว ก็มีการใช้ความรุนแรง อย่างกรณีที่ไปโจมตีอาสารักษาดินแดน (อส.) ซึ่งเป็นการกระทำต่อพลเรือน แต่เท่าที่ทราบมาใครก็ตามที่อยู่กับรัฐก็คือศัตรูของเขา แม้จะไม่ใช่มุสลิม
อังคณามองว่า ทักษิณลงพื้นที่ไปแล้วคิดเองเออเองว่าประชาชนค่อนข้างต้อนรับ เปรียบเทียบว่า “เมื่อก่อนมองตาเขียวแต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ทักษิณต้องอย่าลืมว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่มีใครลืม แม้ทักษิณจะขออภัย แต่ในคดีตากใบ อดีต สส. พรรคเพื่อไทย ที่เป็นจำเลยในคดีไม่ยอมไปปรากฏตัวที่ศาล ทำให้คดีไปต่อไม่ได้เลย
อังคณาชี้ว่า หากคดีตากใบดำเนินไปได้ อย่างน้อยที่สุดจะมีการเปิดเผยความจริงในศาล ให้รู้ว่ามีใครที่เกี่ยวข้อง ศาลจะพิพากษาอย่างไรก็ถือว่ายุติ และเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย หากมันคาราคาซังแบบนี้ ก็ยังมีอะไรค้างคาใจกันอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้ทักษิณจะเป็นที่ปรึกษาของ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียนั้น อังคณาระบุว่า มาเลเซียอยู่ในฐานะผู้อำนวยการการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ฝ่ายไทยได้เจรจา โดยมารยาทเขาจะไม่แทรกแซง แต่ปัญหาคือ วิธีการพูดคุยต้องคุยทั้งบนโต๊ะและในพื้นที่
อังคณาเชื่อว่า ในการก่อเหตุ เจ้าหน้าที่พอจะมองออกว่าใครเป็นใคร และเจ้าหน้าที่ก็รู้ คนที่ทำงานภาคใต้ก็รู้ว่า ควรคุยกับใคร แต่ปัญหาคือ รัฐบาลไม่ได้ส่งสัญญาณในการที่จะคุยกับคนเห็นต่าง แต่กลับไปคุยเพื่อส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาคนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลมากกว่า จึงทำให้ปัญหายืดเยื้อ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องงานการข่าวไม่น่าเชื่อถือ แต่เหตุใดถึงไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการก่อเหตุในลักษณะนี้ เหตุการณ์สำคัญคือ ผู้ก่อเหตุหรือผู้ติดตามบีอาร์เอ็นก็คือคนในพื้นที่ ทำอย่างไรจะคุยกันให้เข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ
“ในคดีตากใบแทนที่คุณทักษิณจะขอโทษ คุณทักษิณควรพูดว่าเพราะอะไรถึงเกิดขึ้น ทำไมถึงไม่ให้ สส.พรรคตนเองมาขึ้นศาล ควรจะเปิดเผยความจริงด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากมีคนหาย และถูกฆ่านอกกระบวนการยุติธรรม” อังคณากล่าว
สำหรับคณะเจรจาสันติภาพนั้น อังคณาชี้ว่า คณะชุดที่แล้ว มีเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงเข้าไปอยู่ด้วย ซึ่งถือเป็นคู่ขัดแย้ง เรานำข้อขัดแย้งหรือคนที่ชาวบ้านเชื่อว่าละเมิดเขาไปนั่งอยู่บนโต๊ะ จะเป็นไปได้อย่างไร ส่วนตัวมองว่า เรื่องสำคัญในการพูดคุยคือทั้งสองฝ่ายต้องเท่ากัน ต้องคุยและสร้างความไว้วางใจกัน เหมือนที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า เรายังคุยไม่ถูกคน ซึ่งตนเองก็เห็นด้วย
อังคณาระบุว่า หากจะนำฝ่ายทหารเข้าไปในคณะเจรจา อาจจะต้องมีกองกำลังติดอาวุธเป็นตัวแทนเข้ามาพูดคุยด้วย แต่เวลาที่คุยก็ต้องมีหลักประกันว่า เขาจะปลอดภัยหากปรากฏตัว ส่วนตัวมองว่าที่ผ่านมาน่าจะไม่ได้ประโยชน์ สภาผู้แทนราษฎรก็มีคณะกรรมาธิการสันติภาพ แต่ไม่เห็นไปไหน คุยกับคนไปทั่ว ดังนั้นความจริงใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
นอกจากนี้ อังคณากล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่าติดตามคือรัฐสภาได้มีมติยกเลิกคำสั่ง คสช. เรื่องข้อจำกัดของสภาที่ปรึกษา จึงอยากให้มีการตั้งสภาที่ปรึกษา ใช้การเมืองนำการทหารให้เต็มที่ เพราะที่ผ่านมาเป็นการทหารนำการเมืองมาโดยตลอด อะไรที่ไม่ถูกใจก็ใช้ IO คุกคามผู้เห็นต่าง ถ้าไว้ใจตนเองอยากให้ช่วย ก็ยินดี
“แต่อยากจะให้คุยกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เอาอกเข้าใจกัน อย่างคุณทักษิณไปก็อาจจะคิดไปเองว่ามีคนต้อนรับ แต่จริงๆ ไม่ใช่แบบนั้น เพราะที่คุยกับชาวบ้านหลายคนก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น” อังคณากล่าว