×

เหล็กไทยน่าห่วงแค่ไหน? ในวันที่ทรัมป์ขึ้นภาษี โรงงานจีนถล่ม ธุรกิจทยอยปิด เหลือกำลังผลิตแค่ 28%

13.02.2025
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด 25% อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เรียกเก็บจากทุกประเทศ อาจทำให้ธุรกิจสหรัฐฯ เจ็บเอง แบกรับภาระต้นทุนเพิ่ม กระทบการจับจ่ายของชาวอเมริกัน พร้อมจับตาทรัมป์เตรียมประกาศขึ้นภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สินค้าอื่นๆ สัปดาห์หน้า
  • เปิดข้อมูลประเทศที่นำเข้าเหล็กกล้าของสหรัฐฯ แหล่งที่ใหญ่ที่สุดคือแคนาดาและเม็กซิโก รองลงมาคือเกาหลีใต้และเวียดนาม แม้ ‘ไทย’ จะไม่ได้รับแรงกระแทกทางตรง แต่ทำไมยังเสี่ยงสูงและน่าห่วง
  • THE STANDARD WEALTH คุยกับ นาวา จันทนสุรคน ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ถึงสถานการณ์เหล็กไทยในวันที่ธุรกิจทยอยปิดตัว โรงงานจีนถล่ม ทรัมป์ขึ้นภาษี ชี้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • จับตาทรัมป์ 2.0 กลับมาใช้มาตรการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ทุกประเทศ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไทยต้องจับตา ‘เกาหลีใต้ เวียดนาม และไต้หวัน’ หากส่งไปสหรัฐฯ ไม่ได้ อาจหันมาทุ่มตลาดเอเชีย ‘ไทยเจอสองเด้ง’ หวั่นซ้ำรอยจีน

เพียงไม่กี่วัน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดฉากสงครามการค้า จนล่าสุดประกาศขึ้นภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมทุกชนิด 25% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของประเทศ โดยเฉพาะ U.S. Steel ซึ่งเป็นธุรกิจบุกเบิกยักษ์ใหญ่ของอเมริกัน

 

 

พร้อมส่งสัญญาณว่าจะประกาศยกระดับในการรื้อและปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าโลกเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้หลายประเทศในสัปดาห์หน้า

 

หากพูดถึงการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความต่างของคำสั่งนี้จะมีผลต่อทุกประเทศต่างจากวาระแรกที่ยังให้โควตายกเว้นภาษีแก่หลายประเทศ รวมทั้งแคนาดาและเม็กซิโก 

 

มาถึงวันนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ เอง เมื่อมีการปรับขึ้นราคา ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในสหรัฐฯ อาจต้องแบกรับภาระต้นทุน กระทบไปยังผู้บริโภคผ่านการปรับราคาสินค้าต่างๆ ย่อมสูงขึ้น 

 

เพราะอย่าลืมว่าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตสินค้าหลายประเภท เช่น อาหารกระป๋อง เบียร์ และน้ำอัดลม, อุตสาหกรรมยานยนต์, จักรยาน, การก่อสร้าง, ที่อยู่อาศัย และเครื่องใช้ไฟฟ้า

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

จากทรัมป์ 1.0 สู่ทรัมป์ 2.0 ขึ้นภาษีเหล็ก 25% อีกครั้ง แคนาดาและเม็กซิโกเจ็บสุด

 

สำนักข่าว CNBC รวบรวมข้อมูลประเทศที่ได้โอกาสและกระทบจากภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ว่า สำหรับสหรัฐฯ แล้ว หากย้อนไปช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดา เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU)

 

นอกจากนี้ยังจำกัดปริมาณการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้ อาร์เจนตินา และออสเตรเลีย 

 

ในครั้งนั้น Congressional Research Service พบว่า เพียง 5 เดือนแรกของนโยบายนี้มีผล รัฐบาลทรัมป์สามารถเก็บรายได้เข้ารัฐได้มากกว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

 

สำหรับแคนาดาและเม็กซิโก ถือเป็นประเทศเป็นผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดไปยังสหรัฐฯ ดังนั้นเมื่อมีผลบังคับใช้วันที่ 4 มีนาคม จึงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด

 

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าในปีที่แล้วแคนาดาส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ มากเป็นอันดับ 1 มูลค่า 7.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกอะลูมิเนียมมากเป็นอันดับ 1 มูลค่า 9.42 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ในขณะที่เม็กซิโกส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และอะลูมิเนียม 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับ 2 และ 8 ตามลำดับ

 

ส่วนเยอรมนีเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อันดับ 5 ไปยังสหรัฐอเมริกามูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม thyssenkrupp ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของยุโรป กล่าวว่า คาดว่าจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะยอดขายส่วนใหญ่ของ thyssenkrupp ในสหรัฐฯ มาจากธุรกิจการค้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์”

 

ฟากฝั่งเอเชีย เกาหลีใต้ เวียดนาม และญี่ปุ่น เป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าโลหะ 

 

โดยจากการวิเคราะห์ข้อมูลการค้าของสหรัฐฯ พบว่า การนำเข้าเหล็กจากเวียดนามเติบโตขึ้นมากถึง 140% จากปีก่อน นอกจากนี้ไต้หวันยังส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 75% ในปี 2024 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

 

ข้อมูลของสำนักงานการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่า ในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าเหล็กจาก 79 ประเทศ และอะลูมิเนียมจาก 89 ประเทศ โดยการนำเข้าเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยติดอันดับ 10 ส่งออกอะลูมิเนียมไปสหรัฐฯ มูลค่า 270 ล้านดอลลาร์

 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ มองว่า ปัจจุบันแคนาดาพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลักสำหรับการส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกมีสัดส่วน 87% 

 

“การที่ทรัมป์เลือกใช้มาตรการทางการค้าที่รุนแรงเช่นนี้ สร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ สร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้นแก่ทุกภาคส่วนของแคนาดา และกลายเป็นกระแสสังคมในแคนาดาที่ต่อต้านสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ อาจนำไปสู่การทยอยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ลง เพื่อลดความเสี่ยงของภาคธุรกิจแคนาดาในอนาคต”

 

ไทยส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ อันดับที่ 11 กระทบแค่ไหน?

 

THE STANDARD WEALTH ได้รับข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ถึงตัวเลขการส่งออกอุตสาหกรรม เหล็ก รวมทั้งเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นสินค้าส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ พบว่า ไทยอยู่อันดับที่ 11 มูลค่า 1,205.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท

 

 

ขณะที่เหล็กรวมถึงเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สหรัฐฯ นำเข้าจากไทย อัตราภาษีนำเข้าขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กและผลิตภัณฑ์ 0-7% ส่วนไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ อัตราภาษีนำเข้าขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กและผลิตภัณฑ์ในช่วง 5-15%

 

ส่วนผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ในปี 2567 ไทยส่งไปสหรัฐฯ มูลค่า 437 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

นาวา จันทนสุรคน ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ถึงสถานการณ์เหล็กไทยและมาตรการการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของทรัมป์ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความต่างของคำสั่งนี้จะมีผลต่อทุกประเทศต่างจากวาระแรก ทรัมป์ 1.0 ที่ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% แต่ยังให้โควตายกเว้นภาษีแก่หลายประเทศ รวมทั้งแคนาดาและเม็กซิโก 

 

คำประกาศดังกล่าวเป็นการขยายมาตรการภาษีมาตรา 232 ปี 2561 ของทรัมป์ เพื่อปกป้องผู้ผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ในช่วงนั้น EU ก็ใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG) ตอบโต้บ้าง

 

“หมายความว่าทรัมป์กลับมาทบทวนมาตรการที่ทำไว้อีกครั้งว่ายังคงความสำเร็จเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะตอนนั้นกำลังผลิตสหรัฐฯ ร่วง 75% ช่วงหาเสียงสมัยแรก จึงให้นโยบายไว้กับสหภาพแรงงานว่าจะกลับมาทำให้เหล็กอเมริกันยิ่งใหญ่อีกครั้งและฟื้นกำลังผลิตกลับมาให้มากขึ้น 80%” 

 

มาตรา 232 ครั้งนั้นทรัมป์ยกเว้นบางประเทศมากเกินไป ทำให้เหล็กจีนไปดัดแปลง ส่งออกไปเม็กซิโกและบราซิล จึงนำมาสู่การตัดสินใจว่า จากที่งดเว้นบางประเทศมาเป็นให้โควตากลับมาขึ้นเท่ากันหมด ‘เรียงหน้ากระดาน’ และมองว่าอะลูมิเนียมก็วิกฤตเช่นกัน จึงขึ้นภาษีพร้อมกันเท่ากับเหล็กที่ทรัมป์ลงนามไปวานก่อนก็คือการปรับปรุงมาตรการ Safegard 

 

เมื่อถามว่า ผลกระทบทางตรงกับไทยมีมากน้อยแค่ไหน นาวายอมรับว่ากระทบส่วนหนึ่ง เพราะทุกวันนี้ยังมีเหล็กไทยที่ส่งไปขายอเมริกา ซึ่งขอแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 

 

  1. กลุ่มสินค้าท่อโลหะ อยู่ในกลุ่มผู้นำเข้าของไทยไปขอยกเว้นโดยขอโควตา 
  2. กลุ่มที่ส่งเหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป (Pre-Engineered Steel Building) 

 

ที่ผ่านมาไทยไม่โดนมาตรการ 232 แต่รอบนี้ทรัมป์ใช้มาตรการรวมทั้งหมดสินค้าเหล็กปลายน้ำ ใช้แค่เหล็กขั้นต้นและขั้นกลางที่มีการเลี่ยงภาษีเยอะ รอบนี้ทรัมป์จึงขยายมาถึงสินค้าเหล็กปลายน้ำมากขึ้นด้วย ในส่วนนี้กระทบทางตรงกับผู้ส่งออกสินค้าเหล็กโครงสร้างไปด้วย 

 

เกาหลีใต้ เวียดนาม และไต้หวัน ส่งไปสหรัฐฯ ไม่ได้ หันมาทุ่มตลาดเอเชีย ‘ไทยเจอสองเด้ง’

 

ผลกระทบทางอ้อม ผมอยากอธิบายให้เห็นภาพแบ่งเป็น 2 ข้อย่อย 

 

  1. ประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นทั้งรูปแบบโควตาและอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และไต้หวัน ถ้าไปอเมริกาไม่ได้ก็หันมาทุ่มตลาดเอเชียเหมือนที่จีนทำมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตารอบนี้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่จีนที่เข้ามาตั้งฐานผลิตในไทย รอบนี้ต้องติดตาม ‘เกาหลีใต้’ อาจเข้ามาทุ่มตลาดในไทย ถ้าเขาประเมินว่าสู้เหล็กจีนได้ ซึ่งเกาหลีใต้ส่งออกทั้งอะลูมิเนียมและเหล็กให้สหรัฐฯ มาก โดยปัจจุบันการส่งออกเหล็กของเกาหลีใต้คิดเป็น 70% ของค่าเฉลี่ยการส่งออกทั้งปี เขาก็พยายามแสวงหาตลาดอื่นๆ แล้ว 

 

  1. กลุ่มเหล็กจีนดัดแปลงสำเร็จส่งไปบราซิล 4 ล้านกว่าตัน แปลงร่างไปเม็กซิโกปีละล้านตัน เมื่ออเมริกาปิดประตูนี้ไป ถ้าขายที่สหรัฐฯ ไม่ได้ ก็นำเข้าเหล็กจากจีนน้อยลง จีนส่งไปบราซิลน้อยลง 4 ล้านตัน เม็กซิโกล้านตัน ก็มีโอกาสที่กลุ่มเหล่านี้จะกลับมาทุ่มตลาดพื้นที่ที่มีช่องโหว่ “อาจจะเจออีกเด้ง ผมมองว่าค่อนข้างน่ากลัว”

 

 

ขณะเดียวกันไทยและหลายประเทศเผชิญวิกฤตกำลังการผลิตเหล็กของโลกล้นเกินความต้องการ โดยเฉพาะผู้ผลิตเหล็กในจีนยังคงผลิตเหล็กในสัดส่วนสูงมากของการผลิตเหล็กทั้งโลกรวมกัน จีนจึงมุ่งส่งออกสินค้าเหล็กไปยังภูมิภาคหรือประเทศที่มีช่องโหว่ซึ่งจีนสามารถทุ่มตลาดได้

 

โดยปี 2567 จีนส่งออกสินค้าเหล็กมากที่สุดในรอบ 8 ปี ปริมาณสูงถึง 109 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้สินค้าเหล็กจากจีนที่ส่งมายังประเทศไทยก็มีมากกว่า 5.1 ล้านตัน และครองส่วนแบ่งปริมาณเหล็กนำเข้ามากที่สุด 44%

 

“ตอนนี้ผู้ผลิตเหล็กในไทยเหลือกำลังการผลิต (Production Capacity Utilization) เข้าขั้นวิกฤตต่ำราวๆ 28% เราเดี้ยงกว่าอเมริกาเยอะ ยอมรับว่าน่าห่วง หลายโรงงานเหล็กต้องทยอยปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงาน ตอนนี้เราเจอสองเด้ง ทั้งเหล็กนำเข้าและรัฐบาลจีนห้ามเปิด จีนก็มาเปิดในไทย กลุ่มเอเชียที่เคยเว้นโควตา เมื่อทรัมป์ประกาศออกมาอีกเช่นนี้ เกาหลีและเวียดนามก็ต้องหาตลาดใหม่ในเอเชีย” นาวากล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังช่วงปีนี้ก็ต้องขอชื่นชมภาครัฐทั้ง BOI และกระทรวงอุตสาหกรรมที่ไม่เพิ่มระงับกำลังผลิตของโรงงานที่ Oversupply ออกมาตรการห้ามตั้งและขยายโรงงานเหล็ก อย่างน้อยแม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้กับอุตสาหกรรมอื่น อย่างน้อยเราเจ็บ ก็อยากจะถ่ายทอดบทเรียนว่าอย่าให้เกิดกับอุตสาหกรรมอื่นไปมากกว่านี้ 

 

อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐใช้มาตรการทางการค้ามากขึ้น เพราะประเทศไทยยังคงถูกจีนส่งสินค้าเหล็กมาทุ่มตลาดปริมาณเฉลี่ยกว่า 4.2 แสนตันต่อเดือน นาวากล่าว

 

แหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH อีกว่า นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเหล็กไทยอยู่ในอาการโคม่า ถูกเหล็กจีนถล่มมาระยะหนึ่งแล้ว และเหลือในระบบจริงๆ เพียง 20% 

 

“วันนี้การเข้ามาทำการตลาดเชิงรุก อาทิ การเข้ามาเปิดโชว์รูมสินค้าเหล็กของผู้ผลิตและผู้ค้าเหล็กจากจีน เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าเหล็กจากโรงงานในจีนโดยตรง ส่งผลให้ทั้งผู้ผลิตเหล็กและผู้ค้าเหล็กของไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จีนขายได้ราคาต่ำ จากปริมาณการผลิตที่มากจนเกิด Economies of Scale”

 

เหล็กจีนดัมป์ราคาเหล็กไทยมานาน

 

ด้าน รศ. ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงเศรษฐกิจจีนถึง 18% ไทยยังต้องรับมือหากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก จะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยถึง 20-30% 

 

โดยสิ่งที่ต้องจับตาคือไทยจะต้องรับมือ ‘สินค้าเหล็ก’ ทะลักเข้ามามากที่สุดสัดส่วน 25% มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 92,500 ล้านบาท 

 

รองลงมาเป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า 18% มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 66,000 ล้านบาท และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปโภคบริโภคราว 15% มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 55,000 ล้านบาท 

 

“ปัญหาสินค้าจีนทะลักภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ทยอยปิดกิจการมากขึ้น และไทยขาดดุลการค้าจากจีนเพิ่มมากขึ้น”

 

ภาครัฐจำเป็นต้องออกมาตรการต่างๆ เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กจากจีน การใช้มาตรการ AD เพื่อสกัดสินค้าที่ถูกนำเข้ามาทุ่มตลาด

 

 

เหล็กไทยเผชิญโครงสร้างการผลิตและการแข่งขันที่รุนแรง ห่วงการปิดตัวของโรงงาน

 

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResarch) ระบุว่า สถานการณ์การปิดโรงงานในปี 2567 ยังคงมากกว่า 100 แห่งต่อเดือน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งโรงงานที่ปิดตัวลงมากในปี 2567 

 

“ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาโครงสร้างการผลิตและการเผชิญความต้องการที่ลดลง รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจากคู่แข่งและสินค้านำเข้า หนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมเหล็กที่เห็นภาพการปิดตัวของโรงงานทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ สอดคล้องกับดัชนีการผลิตในกลุ่มเหล่านี้ที่มีทิศทางลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีฐาน”

 

สอดคล้องกับธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเลิกมากที่สุดปีที่ผ่านมาคือธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 2,146 ราย ทุนจดทะเบียนเลิกมูลค่ารวม 4,761 ล้านบาท 

 

เอกนัฏยืนยัน ทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กไม่กระทบไทย ห่วงสินค้าทะลักระลอกใหม่

 

ด้าน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า ล่าสุดได้พูดคุยกับกลุ่มสมาคมเหล็กแบบตรงไปตรงมา ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแแรก แต่เกิดขึ้นมา 7 ปีที่แล้ว มองว่าผลกระทบน่าจะไปเกิดขึ้นที่เม็กซิโกและแคนาดามากกว่า 

 

“สำหรับไทยไม่มีอะไรใหม่เพราะเคยเกิดขึ้นแล้ว และคิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมาก เพราะประเทศไทยส่งเหล็กไปสหรัฐฯ ไม่กี่แสนตัน แต่ที่เป็นห่วงคือการตั้งกำแพงภาษีกับประเทศผู้ผลิตที่ส่งไปสหรัฐฯ ไม่ได้ก็จะเข้ามาสู่ประเทศไทย”

 

แต่ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและสมาคมเหล็กเตรียมมาตรการตั้งรับสินค้าที่จะเข้ามาสู่ประเทศไทย ห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กเพิ่มและเข้มงวดตรวจตราโรงงาน โดยเฉพาะเรื่องเหล็ก

 

ภาพ: The Washington Post / Getty images, Mario Tama / StaffGetty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising