อีลอน มัสก์ สัญญากับนักลงทุนว่าจะกอบกู้ Tesla ให้กลับมาโตอีกครั้ง ท่ามกลางความยากลำบาก ทั้งถูกคู่แข่งอย่าง BYD แย่งส่วนแบ่งตลาดไป ส่วนยอดขายและกำไรเริ่มลดลง นักวิเคราะห์ชี้ มัสก์เอาเวลาไปสนใจการเมืองมากกว่าบริหารแบรนด์
ถึงวันนี้ Tesla กำลังเผชิญปัญหายอดขายและกำไรลดลง โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่มีคู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น บวกกับนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้าของรัฐบาลในสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลง อาจทำให้บริษัทสูญเสียเงินถึงระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นสวนทางกับมูลค่าหุ้นของ Tesla ที่ยังสูงกว่าผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นอย่างมหาศาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ต้านสุดแรง! อีลอน มัสก์ ยื่นร้องศาล ขวาง OpenAI ไม่ให้เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจไปเป็น ‘บริษัทแสวงหาผลกำไร’
ล่าสุดมัสก์ ซีอีโอของ Tesla ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยการให้สัญญากับนักลงทุนว่าจะทำให้ Tesla กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งให้ได้ พร้อมยังโพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าปี 2025 จะเป็นก้าวสำคัญของบริษัท
โดยฝั่งนักลงทุนก็ให้การตอบรับในเชิงบวกจนราคาหุ้นของ Tesla เพิ่มขึ้น 4% แม้ยังไม่มีแผนเชิงรุกออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่มัสก์ย้ำว่าแม้ต้องเดินบนเส้นทางที่ยาก แต่ทุกอย่างมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะทำให้ Tesla มีมูลค่ามากกว่า 5 บริษัทชั้นนำรวมกันเสียอีก
ไรอัน บริงก์แมน นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์จาก JPMorgan กล่าวว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นไม่เกี่ยวข้องกับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ผ่านมาหรือแนวโน้มการเติบโตในปีหน้า เรามองว่าราคาหุ้นของ Tesla ได้แยกตัวออกจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างสิ้นเชิง และมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ยังเชื่อมั่นในมูลค่าหุ้น
เช่นเดียวกับ แดน ไอฟส์ นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities ที่กล่าวว่า เขาก็เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เชื่อมั่นในหุ้น Tesla โดยตั้งราคาเป้าหมายของหุ้นไว้ที่ 550 ดอลลาร์สหรัฐภายใน 12 เดือน ซึ่งสูงกว่าราคาปิดของวันพุธที่ผ่านมา (5 กุมภาพันธ์) ถึง 45%
นอกจากนี้ สิ่งที่จะทำให้ Tesla มีมูลค่ามหาศาลก็คือรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับที่จะวิ่งรับผู้โดยสารเพื่อสร้างรายได้ คล้ายกับ Uber ต่างกันแค่เปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์ขับรถ ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของรถมีรายได้เพิ่มแทนที่จะปล่อยให้รถจอดทิ้งไว้ โดยมัสก์เชื่อว่าจะช่วยเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจได้
รวมถึงหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์รุ่น Optimus ซึ่งวางแผนจะจำหน่ายภายในปี 2026 ทั้งหมดจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนบริษัท และคาดว่าธุรกิจนี้จะทำรายได้มากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
เมื่อมาดูผลประกอบการปี 2024 Tesla รายงานว่า บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ และกำลังสูญเสียตำแหน่งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกให้กับ BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากจีน โดยเฉพาะยอดขาย Tesla ในเยอรมนีเดือนมกราคมลดลงถึง 59% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
“ที่ผ่านมามัสก์เข้าไปมีบทบาทบนเวทีการเมือง ซึ่งอาจกลืนกินการบริหารงาน Tesla ที่เริ่มน้อยลง ถ้าเทียบกับอดีตมัสก์เคยทุ่มเทให้กับแบรนด์ถึงขนาดนอนและใช้ชีวิตอยู่ที่โรงงานและทำงานตลอดเวลา” นักวิเคราะห์ย้ำ
สุดท้ายแล้วสัญญาของมัสก์จะเป็นแค่ลมปากเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามัสก์เคยให้คำมั่นสัญญากับนักลงทุนอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยทำได้เลย
ยกตัวอย่างตั้งแต่ปี 2016 มัสก์กล่าวว่า ภายในสิ้นปี 2017 ฟีเจอร์ Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla จะทำให้เจ้าของรถสามารถเรียกรถของตัวเองให้มาหาได้จากที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่เคยพูดเอาไว้ หลังจากนั้นในทุกๆ ปี มัสก์ย้ำว่ายานยนต์ไร้คนขับจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 ปี แต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น
ทั้งที่ความเป็นจริงคือฟีเจอร์ FSD ถูกคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) ตรวจสอบและไม่อนุญาต เนื่องจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหลายครั้ง ดังนั้นคนต้องอยู่หลังพวงมาลัยเพื่อควบคุมรถ
ถัดมาในปี 2019 มัสก์กล่าวว่า แท็กซี่ไร้คนขับจะเปิดให้ใช้งานภายในปี 2020 แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง และในเดือนตุลาคม 2024 หลังเปิดตัวต้นแบบของ Cybercab รถแท็กซี่ไร้คนขับที่ไม่มีทั้งแป้นเหยียบเร่ง เบรก หรือพวงมาลัย ช่วงนั้นมัสก์ให้คำมั่นว่าการขับขี่แบบไร้คนขับอาจเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
กระทั่งในการประชุมกับนักลงทุนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มัสก์เปิดเผยว่า Tesla ต้องอัปเดตฮาร์ดแวร์ เพื่อให้สามารถขับขี่แบบไร้คนขับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะยังไม่ได้เห็นในเร็วๆ นี้
อ้างอิง: