สุขภาพจิตเด็กไทยมากกว่า 1 ใน 4 หรือ 29.01% เสี่ยงซึมเศร้า, 24.94% มีภาวะเครียดสูง และ 20.16% เสี่ยงฆ่าตัวตาย
สถิติสถานการณ์สุขภาพจิตสังคมไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (มกราคม 2563 – มกราคม 2568) โดยกรมสุขภาพจิต* บ่งชี้ว่าความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ของเด็กไทย (อายุต่ำกว่า 20 ปี) อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง
คงยากจะปฏิเสธว่าสภาพสังคมที่บีบคั้น การแข่งขันที่พร้อมจะทิ้งคนธรรมดาไว้ข้างหลัง และโซเชียลมีเดียที่บอกเราว่าไม่เคยดีพอ มีผลต่อภาวะอารมณ์ที่อ่อนไหวและอ่อนแอของเด็กรุ่นใหม่
Daniel Goleman นักจิตวิทยาและนักเขียน ผู้ให้กำเนิดคำว่า #ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ #EQ ในหนังสือ Emotional Intelligence: Why It Can Matter More Than IQ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1995 คงไม่คาดคิดว่า 30 ปีผ่านไป ไอเดียของเขาจะยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง และดูจะยิ่งป๊อปปูลาร์มากขึ้นกว่าเดิมในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้า แต่ภาวะทางอารมณ์ของมนุษย์กลับถดถอย
Goleman ค้นพบว่า ในกลุ่มคนที่มี IQ ไม่ต่างกัน คนที่เป็นผู้นำหรือประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ จะเป็นคนที่มี EQ สูงกว่า
ข้อค้นพบของ Goleman ได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ตรงใจ โดยเฉพาะคนที่ผ่านโลกการทำงานและชีวิตมาพอสมควรจะรู้ว่า #เรื่องคน นั้นยากกว่า #เรื่องงาน และคนที่อยู่แถวหน้าที่ได้รับการยอมรับในวงการล้วนมีทักษะในการบริหารจัดการคนและมักจะเป็นที่รักของผู้อื่น
ซึ่งคนที่มี EQ จะมีองค์ประกอบอยู่ 4 ข้อ
- ตระหนักรู้อารมณ์ตนเอง (Self-Awareness) รู้จักตัวเอง จุดแข็ง จุดอ่อน และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
- จัดการอารมณ์ตนเองได้ (Self-Management) คิดก่อนทำ เปิดรับ ยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
- ตระหนักรู้อารมณ์ผู้อื่น (Social-Awareness) มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์ผู้อื่น และมีวิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม
- บริหารจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Relationship Management) สื่อสารได้ชัดเจน เข้าใจง่าย ทำงานเป็นทีมได้เป็นอย่างดี แก้ไขความขัดแย้งได้
หากถามผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่นว่าจะสร้างเด็กให้มี EQ ได้อย่างไร ผู้เชี่ยวชาญทุกคนไม่ว่านักจิตวิทยาหรือนักการศึกษาล้วนตอบตรงกันว่า
“พ่อแม่คือส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างความฉลาดทางอารมณ์ของลูก”
วิธีสังเกตว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่มีส่วนสร้างเสริม EQ ให้กับลูกหรือไม่ ให้ลองสังเกตดูว่าเวลาลูกซนหรือสร้างปัญหา คุณเลือกที่จะระเบิดอารมณ์หรือหาวิธีตอบสนองทางอารมณ์ที่ดีกว่า เพราะสิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดพื้นฐานทางอารมณ์ในลูกต่อไป
“พ่อแม่นั้นอยู่สูงสุดในดวงใจของลูกๆ จึงต้องรับผิดชอบมหาศาล เพราะไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าพ่อแม่พูดปด ลูกของเขาก็จะพูดปด หากเขาคดโกง ลูกๆ ก็จะเรียนรู้วิธีโกง และถ้าเป็นคนอาฆาตพยาบาท ไม่ช้าลูกๆ ของเขาก็จะเรียนรู้การทำเช่นนั้นด้วย
“จิตใจเปรียบเสมือนฟองน้ำ เด็กๆ ดูดซึม ‘ทุกสิ่ง’ รอบตัวเข้าไปตลอดหลายปีที่เขาเติบโต จึงแน่ชัดว่าการสั่งสอนด้วยคำพูดและการกระทำของพ่อแม่เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่เด็กๆ ซึมซับและบรรจุไว้ในความคิดของเขา”
ข้อความจากหนังสือ Letter of a Businessman to his Daughter โดย G. Kingsley Ward นักธุรกิจชาวแคนาดาที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เขียนถึงลูกสาวเมื่อปี 1989 ย้ำให้เห็นว่าพ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในทุกๆ สิ่งของลูก โดยเฉพาะภาวะทางอารมณ์และจิตใจ
เพราะถึงที่สุดในวันข้างหน้าไม่ว่า AI จะเก่งขึ้นแค่ไหน โลกจะใจร้ายกับลูกอย่างไร ความฉลาดทางอารมณ์จะเป็นฐานที่มั่นทางใจให้ลูกพร้อมเผชิญหน้ากับทุกปัญหา และนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จที่มีความสุขได้
และทั้งหมดเริ่มต้นง่ายๆ ที่ ‘ใจ’ ของพ่อแม่
*หมายเหตุ: ข้อมูลจากระบบ Mental Health Check-in กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ครบทุกความรู้และแรงบันดาลใจ เพื่ออนาคตลูกในงานเดียว! 💜
🔥 Early Bird Ticket เปิดจำหน่ายแล้ว รีบซื้อก่อนพลาดโอกาส!
ดูรายละเอียดงาน Alpha Skills Summit 2025 ได้ที่ https://bit.ly/alphass2025ceq
วันที่ 7-9 มีนาคม 2568 ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม
ซื้อบัตรองค์กร ติดต่อ [email protected]
หรือ 📞 โทร. 0 2079 5428 กด 1 ติดต่อฝ่ายขาย (เวลาทำการ 10.00-18.00 น.)