โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร (Executive Order) เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา สั่งเดินหน้าแผนสร้าง ‘ไอรอนโดม’ (Iron Dome) สำหรับสหรัฐฯ ตามคำมั่นสัญญาที่ทรัมป์เคยให้ไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งล่าสุดเมื่อช่วงปลายปี 2024
Iron Dome คืออะไร
Iron Dome เป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น ‘เกราะป้องกัน’ การโจมตีทางอากาศ โดยเฉพาะการสกัดกั้นขีปนาวุธประเภทต่างๆ ที่พุ่งเป้ามายังสหรัฐฯ
เบื้องต้นยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดด้านงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการที่แน่ชัด โดยทรัมป์มีคำสั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยื่นแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับเกราะป้องกันขีปนาวุธ ‘The Iron Dome for America’ นี้ภายใน 60 วัน
Iron Dome ที่ทรัมป์พยายามผลักดันให้เกิดขึ้นนี้ คล้ายกับ Iron Dome ของอิสราเอล ที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการสกัดกั้นการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากกลุ่มฮามาส ซึ่งเปิดฉากยิงถล่มอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นสงครามอิสราเอล-ฮามาสในเวลาต่อมา ทั้งยังมีส่วนช่วยอิสราเอลป้องกันการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และการโจมตีจากอิหร่าน
ทำไมสหรัฐฯ ถึงต้องสร้าง Iron Dome
ทรัมป์มองว่าภัยคุกคามจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธประเภทต่างๆ ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ขีปนาวุธร่อน และการโจมตีทางอากาศขั้นสูงอื่นๆ ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดที่สหรัฐฯ เผชิญอยู่ในขณะนี้ สหรัฐฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบป้องกันภัยทางอากาศ
ในสมัยของ โรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยมีความพยายามที่จะผลักดันโครงการ Star Wars โดยสร้างระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพต่อการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แม้ความพยายามในครั้งนั้นจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในสหรัฐฯ อย่างมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วโครงการดังกล่าวก็ถูกล้มเลิกไป และนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ (Anti-Ballistic Missile Treaty) ในปี 2002 โครงการริเริ่มระบบป้องกันภัยทางอากาศของสหรัฐฯ ก็อยู่ในวงจำกัด นโยบายในด้านนี้ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปยังภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม การยิงขีปนาวุธโดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้รับอนุญาต
ตลอดช่วงระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ภัยคุกคามจากอาวุธเชิงยุทธศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีความทันสมัยและก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกลับมีความรุนแรงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จึงทำให้การพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถของระบบป้องกันภัยทางอากาศของสหรัฐฯ มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง
ความท้าทายของ Iron Dome สหรัฐฯ
หลังจากที่ทรัมป์ลงนามในคำสั่งพิเศษนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์และความมั่นคงจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามขึ้นในทันทีว่า Iron Dome ระบบป้องกันภัยทางอากาศอย่างที่ใช้กันในอิสราเอล จะสามารถปกป้องสหรัฐฯ ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าอิสราเอลมากถึง 400 เท่าได้จริงหรือไม่
ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งข้อสังเกตว่า การสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศของสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายทางเทคนิคมากกว่าในกรณีของอิสราเอล และด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของสหรัฐฯ อาจทำให้พบอุปสรรคในด้านงบประมาณที่จะผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้จริง
แมเรียน เมสส์เมอร์ นักวิจัยอาวุโสของ Chatham House สถาบันวิจัยในลอนดอน ชี้ว่าความท้าทายของอิสราเอลในการป้องกันภัยจากขีปนาวุธนั้นมีน้อยกว่าความท้าทายของสหรัฐฯ อย่างมาก อีกทั้งปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ที่มีขนาดเล็กกว่ามากก็มีส่วนทำให้มุมองศา ทิศทาง รวมถึงประเภทของขีปนาวุธ ถูกจำกัดมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย”
ขณะที่ โรเบิร์ต ซูเฟอร์ อดีตรองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ด้านนโยบายป้องกันขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ เชื่อว่าแนวทางการป้องกันขีปนาวุธในปัจจุบันจะไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับเป้าหมายด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ โดยเขาอ้างว่า ฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าพัฒนาขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง ทั้งเกาหลีเหนือที่พยายามจะพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป รวมถึงรัสเซียและจีนที่ประกาศเจตนารมณ์ในการขยายขีดความสามารถในการป้องกันขีปนาวุธอย่างจริงจัง ดังนั้นสหรัฐฯ จะต้องขัดขวางแนวทางการพัฒนาของประเทศเหล่านี้ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบป้องกันภัยทางอากาศสหรัฐฯ
หาก Iron Dome ของสหรัฐฯ ได้รับการผลักดันและพัฒนาจนมีประสิทธิภาพขั้นสูงในการป้องกันภัยทางอากาศ ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสหรัฐฯ ได้อย่างมาก โดยเฉพาะในมิติด้านความมั่นคง
แฟ้มภาพ: Hamara / Shutterstock, Evelyn Hockstein / Reuters
อ้างอิง: