Takao Kato ประธานและซีอีโอ Mitsubishi Motors ส่งสัญญาณเตือนสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในไทยที่กำลังเผชิญภาวะซบเซารุนแรงที่สุดในรอบ 15 ปี พร้อมเปิดเผยกับ Nikkei Asia ถึงความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรงของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
ตัวเลขคาดการณ์ที่น่ากังวลชี้ว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ใน 5 ประเทศหลักของภูมิภาคจะลดลงจาก 3.21 ล้านคันในปีงบประมาณ 2023 เหลือต่ำกว่า 3 ล้านคันในปีงบประมาณ 2024 แม้ฟิลิปปินส์และเวียดนามจะยังทำผลงานได้ดี แต่ตลาดหลักอย่างอินโดนีเซียคาดว่าจะลดลงประมาณ 10% ส่วนไทยสถานการณ์น่าห่วงที่สุด โดยคาดว่าจะลดลงมากกว่า 20%
สำหรับแนวโน้มปีงบประมาณ 2025 แม้ Kato คาดว่ายอดขายจะทรงตัว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงในหลายประเทศ โดยอินโดนีเซียปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยและภาษีจดทะเบียนรถยนต์ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ราคาขายปลีกอาจเพิ่มขึ้น 5-6% ขึ้นอยู่กับรุ่น ส่วนในเวียดนามมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการยกเลิกการยกเว้นภาษีจดทะเบียน
ตลาดรถยนต์ไทยซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคกำลังประสบภาวะหดตัวอย่างหนัก โดยมียอดขายเหลือเพียงประมาณ 6 แสนคันต่อปี ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 หลังวิกฤตการเงินโลก โดยเฉพาะตลาดรถกระบะ 1 ตัน ซึ่งเป็นที่นิยมในพื้นที่ชนบท ยอดขายลดลงเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเมื่อ 2 ปีก่อน
Kato ระบุว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัจจัยฉุดรั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ แม้รัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธารจะออกมาตรการเยียวยา แต่ก็มีขอบเขตจำกัดและไม่น่าจะกระตุ้นความต้องการได้มากนัก
สถานการณ์ยิ่งท้าทายขึ้นเมื่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้ทุ่มตลาดด้วยการนำรถที่ผลิตเกินความต้องการมาขายในไทยในราคาลดแรง จนส่วนแบ่งตลาดพุ่งขึ้นไปแตะ 17% ในบางเดือน แม้ปัจจุบันจะลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 10% แล้วก็ตาม
“ผู้ผลิตจีนกำลังทำเกินไป พวกเขาสร้างโรงงานประกอบในไทยเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล แต่ชิ้นส่วนเกือบทั้งหมดนำเข้าจากจีน ซึ่งรัฐบาลก็เริ่มตระหนักแล้วว่าประโยชน์ต่อประเทศมีน้อยมาก” Kato กล่าว
อย่างไรก็ตาม Mitsubishi ยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วมสงครามราคากับผู้ผลิตจีน แต่จะแข่งขันด้วยภาพลักษณ์แบรนด์ คุณภาพรถยนต์ และบริการหลังการขายที่ครบวงจร โดยมองว่าไทยเป็น ‘สนามทดสอบที่ดี’ สำหรับการรับมือกับการแข่งขันจากจีน
ความหวังของตลาดรถยนต์ไทยอยู่ที่มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฮบริดที่รัฐบาลกำลังพิจารณา ซึ่งอาจช่วยสร้างทางเลือกให้ผู้บริโภคนอกเหนือจากรถยนต์ไฟฟ้า และช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไฮบริด
การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยอาจเป็นปัจจัยบวก แต่ Kato มองว่าไทยยังระมัดระวังในการลดดอกเบี้ย เนื่องจากกังวลเรื่องค่าเงินบาทอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ อาจเป็นเพราะบาดแผลจากวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997
“เศรษฐกิจโลกผันผวนและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังเพิ่มขึ้น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ดีสำคัญกว่าการมุ่งเน้นเพียงประเทศเดียว” Kato กล่าว
พร้อมย้ำว่าบริษัทพร้อมร่วมมือกับ Honda และ Nissan ในการพัฒนาธุรกิจ โดยจะใช้จุดแข็งด้านธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรถกระบะ 1 ตันเป็นฐานในการต่อยอด
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มองว่า การฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ไทยในปี 2024 จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความสำเร็จของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และการปรับตัวของผู้ผลิตญี่ปุ่นต่อการแข่งขันจากจีน โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ภาพ: aappp / Shutterstock
อ้างอิง: