วันนี้ (18 ธันวาคม) กลุ่มผู้เสียหายจากคดีดิไอคอนกรุ๊ปประมาณ 100 คน นำกระเช้าดอกไม้เข้าแสดงความขอบคุณสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ก่อนหน้านี้เปิดให้ผู้เสียหายจากคดีแจ้งความจำนงขอคุ้มครองสิทธิ์ ความเสียหายของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป และช่วยอายัดทรัพย์สินของเหล่าผู้ต้องหาบอสไว้
ซึ่งคดีนี้มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมามีผู้แจ้งความประสงค์ขอคุ้มครองสิทธิ์แล้วประมาณ 500 คน และอยู่ระหว่างแสดงเจตจำนงอีกจำนวนมาก รวมแล้วประมาณ 1,600 คน ที่จะดำเนินการขอยื่นสิทธิ์รับการเยียวยาด้วยการเฉลี่ยทรัพย์สินคืน
ด้าน วิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงาน ปปง. เป็นตัวแทนรับมอบกระเช้าดอกไม้ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายและสื่อมวลชนสอบถาม โดยระบุว่าสำนักงาน ปปง. อยู่ระหว่างการประกาศให้ผู้เสียหายเข้ามายืนยันเพื่อขอคุ้มครองสิทธิ์ตามระเบียบของ ปปง. และย้ำว่าผู้เสียหายไม่ต้องกังวล สามารถยื่นสิทธิ์ได้ 3ช่องทาง คือเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ปปง. ด้วยตนเอง หรือยื่นเอกสารทางไปรษณีย์ รวมทั้งช่องทางออนไลน์
สำหรับทรัพย์สินของดิไอคอนกรุ๊ปที่สำนักงาน ปปง. ยึดอายัดไว้ชั่วคราวรวมแล้ว 320 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคาร ทั้งนี้ เจ้าของทรัพย์สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์ได้ 30 ล้านบาท จึงเหลือที่อายัดประมาณ 286 ล้านบาท
วิทยากล่าวต่อว่า จากนี้เจ้าของทรัพย์สามารถชี้แจงต่อศาลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือไม่ หากสุดท้ายผู้ต้องหามีความผิด ทรัพย์สินที่อายัดก็จะตกเป็นของแผ่นดิน แต่หากไม่มีความผิดก็ต้องคืนสู่เจ้าของทรัพย์เดิม
โดยการดำเนินคดีฟอกเงินของ ปปง. จะไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาของตำรวจที่ตรวจยึดอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว ในการตรวจสอบของ ปปง. นั้นจะดูพฤติกรรมว่าเข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ มีการกระทำผิดตั้งแต่เมื่อไร และเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอย่างไร ไม่ว่าบริษัทจะจดทะเบียนถูกต้องหรือผิดกฎหมายก็สามารถดำเนินการได้ รวมถึงจะต้องตรวจสอบคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นแม่ข่ายในแถวสองหรือสาม
วิทยากล่าวย้ำว่า สุดท้ายแล้วหากมีการยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ปปง. ก็มีขั้นตอนในการเฉลี่ยทรัพย์คืนผู้เสียหาย โดย ปปง. จะกำหนดอัตราการคืนทรัพย์ให้ผู้เสียหายแต่ละคน จากนั้นจะเสนอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งตามขั้นตอน แต่ยอมรับว่ากระบวนการขั้นตอนต่างๆ ดังกล่าวนั้นต้องใช้ระยะเวลา
อย่างไรก็ตาม ปปง. ยอมรับว่าทรัพย์สินที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตที่เกี่ยวกับการกระทำผิดจะติดตามได้เฉพาะองค์กรที่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย ส่วนบริษัทที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไทยจะต้องใช้หลายช่องทางในการติดตาม
ด้านตัวแทนผู้เสียหายให้สัมภาษณ์ถึงจดหมายของ บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ว่าการที่บอสพอลและบอสต่างๆ เขียนในจดหมายว่าไม่รู้ต่อสู้อยู่กับใครนั้น อยากให้เหล่าบอสรู้ว่าก็ต่อสู้อยู่กับคนที่หมดเนื้อหมดตัวจากการลงทุน เพราะบริษัทไม่บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ให้ชักชวนคนให้มาเปิดบิลระดับดีลเลอร์ ทำให้หลายคนนำเงินก้อนสุดท้ายมาลงทุนจนเครียดและฆ่าตัวตาย ส่วนตัวบอสก็เอาแต่สร้างภาพไปทำบุญโดยไม่รู้เลยหรือว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับบริษัท