สิ่งที่ IMPACT ทำสำเร็จแล้วเหลือเพียงโรงแรม 5 ดาวหลายๆ แห่งเข้ามาอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน ‘พอลล์ กาญจนพาสน์’ ย้ำ ปีนี้อีเวนต์-คอนเสิร์ตคึกคัก คิวยาวถึงปีหน้า เร่งเปิด Sky Entrance เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีชมพูดึงคนเข้างาน พร้อมเผยปีนี้กองทรัสต์จ่ายปันผลมากกว่าปีก่อน รับอานิสงส์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ย
พอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท (IMPACT GROWTH REIT) หรือ IMPACT ผู้นำศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์โควิดผ่านไป งานอีเวนต์ในประเทศไทยกลับมาเต็มตัวแล้ว โดยเฉพาะงานคอนเสิร์ตเฟสติวัลทั้งไทยและต่างประเทศคึกคักมาก
สะท้อนจากภาพรวมของ Entertainment ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 380 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยับขึ้นไปอีก โดยถ้าเทียบจากปี 2019 อยู่ที่ 224 ล้านเท่านั้น เช่นเดียวกับฝั่ง Exhibition การจัดเลี้ยงลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัท ปัจจุบันเริ่มเติบโตขึ้นแต่ต้องใช้เวลา เนื่องจากยังมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจและภาวะดอกเบี้ย ทำให้บางงานยังไม่กลับมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ไม่หวั่น! ‘อิมแพ็ค เมืองทองธานี’ ย้ำยังถูกเลือกให้จัดงานเพราะมีพื้นที่ใหญ่ แม้มีคู่แข่งในเมืองเพิ่ม ครึ่งปีหลังมียอดจองเต็มแล้ว
- คอนเสิร์ตจองจัดงานทุกสัปดาห์ ‘อิมแพ็ค เมืองทองธานี’ เทงบ 200 ล้าน สร้างสะพานเชื่อมอาคาร คาดรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายจะเปิดได้ปี 2568
- คอนเสิร์ตระเบิดความมัน! ไทยจัด 900 งานในปีเดียว สร้างเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้านบาท
หลายๆ งานที่จะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลา แต่คาดว่ารายได้ปีนี้จะอยู่ที่ 250 ล้านบาท งานส่วนใหญ่ที่เข้ามามีทั้งไทยและต่างประเทศ ส่วนงานในกลุ่ม Global Conventions ยังอยู่ระหว่างรอคอนเฟิร์ม
ทั้งนี้ ในปี 2568 อุตสาหกรรม MICE มีแนวโน้มเติบโตขึ้น เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลสนับสนุน ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB ในปีงบประมาณ 2567 (เดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567) เปิดเผยว่า ไทยจะมีรายได้จาก MICE ถึง 200,000 ล้านบาท สะท้อนโอกาสในการผลักดันประเทศไทยเป็น Hub การจัดงานแห่งภูมิภาค
ถึงอย่างนั้นการแข่งขันในการหาลูกค้าก็สูง โดยปัจจุบันสถานที่จัดงานใหญ่ๆ ในไทยมีอยู่ 4 แห่ง คือ IMPACT, BITEC, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และสยามพารากอน โดย IMPACT ยังคงถือส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% และมีพื้นที่กว่า 122,165 ตารางเมตร ในอนาคตมีแผนขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโต
สำหรับทิศทางในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะโฟกัสการเพิ่มรายได้จากการเจาะตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะงาน Incentive, Entertainment และ Exhibition กลุ่มนี้มีการใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งตลาดจีนเติบโตมาก เห็นได้จากงาน Motor Expo ปีที่แล้วที่มีแบรนด์จีนเข้ามาจัดงานที่ IMPACT กว่า 7 แบรนด์ และปีนี้ใช้พื้นที่ในฮอลล์เต็มพื้นที่ แสดงให้เห็นว่าเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
นอกจากจีนแล้วเรายังมองไปที่อินเดีย เวียดนาม และเกาหลีใต้ ส่วนซาอุดีอาระเบียยังไม่เห็น เพราะส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะดึงคนเข้าประเทศตัวเองมากกว่า
พร้อมกันนี้ยังขยายอาณาจักร IMPACT ให้เป็น Smart City นำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการสถานที่จัดประชุม, นิทรรศการ, คอนเสิร์ต และกิจกรรมต่างๆ แบบครบวงจร เรียกว่าทุกอย่างในนี้จะต้องเชื่อมโยงกันหมด เพราะในปี 2568 จะมีการเชื่อมต่อกับโครงการ Sky Entrance ที่ปัจจุบันดำเนินงานก่อสร้างไปแล้วถึง 62.6% โดยเป็นส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าสายสีชมพู ซึ่งจะทำให้ผู้เข้ามาใช้บริการสะดวกมากขึ้น
ทั้งหมดจะช่วยสร้างคุณค่าให้ IMPACT GROWTH REIT โดยภาพรวมของกองทรัสต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การบริหารจัดการผ่านทรัพย์สินที่ลงทุนทั้งหมด 4 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการอิมแพ็ค เมืองทองธานี ที่มีพื้นที่รวม 479,761 ตารางเมตร และพื้นที่จัดแสดงงานสุทธิ 122,165 ตารางเมตร ประกอบด้วยศูนย์การจัดแสดงอิมแพ็ค อารีน่า, อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์, ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม และศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
ทุกส่วนมีการเติบโตและมีการจ่ายปันผลตอบแทนผู้ถือหน่วยทุกปี ซึ่งปีนี้มีการปันผลมากกว่าปีก่อน เพราะต้นทุนการเงินลดลงหลัง ธปท. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง
ปัจจุบัน IMPACT GROWTH REIT เป็นกองทรัสต์ศูนย์ประชุมแห่งเดียวในประเทศไทย โดยงบปีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 สัดส่วนงานภาคเอกชนอยู่ที่ 57% ตามด้วยรัฐบาล 21% และต่างประเทศ 22% และมีแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพิ่ม โดยอยู่ระหว่างการพิจารณานำโรงแรม ibis และ Novotel เข้ามาอยู่ในกองทรัสต์ ซึ่งหากมีการเติบโตและขายได้ก็จะนำเงินไปสร้างโรงแรม 5 ดาวในอนาคต
“มั่นใจว่า IMPACT GROWTH REIT เป็นกองทรัสต์ที่มีความมั่นคงและมีโอกาสขยายการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่ารายได้ปีงบระหว่างเดือนเมษายน 2567 – มีนาคม 2568 จะเติบโต 25% และจะกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ทุกอย่างที่เราทำมาถือว่าสำเร็จไปมากแล้ว และในอนาคตถ้ามีโรงแรมเข้ามาเสริมบริการก็จะทำให้พื้นที่เราครบวงจรมากกว่านี้” พอลล์กล่าว