กระทรวงการคลังเผย ‘เงินหมื่น’ เฟส 1 เม็ดเงินกว่า 1.4 แสนล้าน กระตุ้น GDP ได้ 0.3% ตามคาด สร้างตัวทวีคูณ (Multiplier Effect) เฉลี่ยอยู่ที่ 0.7 ลุ้น GDP ไทยขยายตัว 3.5% ในปีนี้ โดยตั้งความหวังกับดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 โครงการบ้านเพื่อคนไทย ซีเกมส์ และการลงทุนใน Data Center และ Cloud ของเอกชน
วันนี้ (30 มกราคม) พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ หรือเงินหมื่นเฟสที่ 1 ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัว 0.3% ซึ่งถือเป็นระดับใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ 0.35%
สำหรับตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) จากเงินหมื่นเฟสแรก พบว่าอยู่ที่ราว 0.7 รอบโดยเฉลี่ย โดยหากแบ่งสัดส่วนผู้ได้รับสิทธิเป็น 5 ส่วน (Quintile) เรียงจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่สุดถึงรายได้มากที่สุด พบว่ากลุ่มที่ผู้มีรายได้น้อยที่สุด 20% แรกสร้างตัวทวีคูณมากที่สุดถึง 0.8 รอบ
ย้อนกลับไปตอนเปิดตัวโครงการแจกเงินหมื่นเฟสแรก กระทรวงการคลังเคยประเมินว่า โครงการดังกล่าวจะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 145,552.40 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35% ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนธันวาคม โฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผย ภายหลังจากการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 3 ภาครัฐจ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายสำเร็จ รวมทั้งสิ้น 14.45 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 99.19% ของกลุ่มเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ทำให้มีเม็ดเงินจากโครงการหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 144,501.68 ล้านบาท
พรชัยเปิดเผยด้วยว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากการสำรวจ (Survey) ที่จัดทำขึ้น โดยมาจากการสำรวจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากกลุ่มตัวอย่างราว 30,000 ราย และผลสำรวจจากสวนดุสิตโพล จากกลุ่มตัวอย่างราว 4,000 ราย
ทั้งนี้ การวัดผลลัพธ์จากโครงการดังกล่าวต้องประเมินจากการทำแบบสำรวจ เนื่องจากการติดตามการใช้จ่ายของผู้ได้รับสิทธิจากเงินสด ทำได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับการติดตามการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
พรชัยกล่าวอีกว่า ผลการสำรวจจากทั้ง 2 แห่งได้ผลลัพธ์ออกมาสอดคล้องกัน โดยพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายเงิน 10,000 บาท ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันคิดเป็น 76% ใช้เพื่อออม 12% และใช้ชำระหนี้ 12% ขณะที่สถานที่ที่นำเงิน 10,000 บาทไปใช้จ่ายอันดับ 1 คือ ร้านค้าภายในชุมชนถึง 96% สำหรับระยะเวลาการใช้จ่ายเงินพบว่า 70-80% เป็นการใช้จ่ายในระยะสั้น 1-3 เดือน
ลุ้น GDP ไทยขยายตัว 3.5% ในปีนี้
ในวันเดียวกัน พรชัยยังแถลงผลประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่คาดว่า GDP จะขยายตัวเร่งขึ้น 3.0% ในกรณีฐาน (Baseline) ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5-3.5% จากแรงหนุนของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 สศค. ได้ปรับ ‘ลดลง’ เหลือ 2.5% จาก 2.7% ในประมาณการเมื่อเดือนตุลาคมปี 2567 โดยปัจจัยหลักมาจากภาคอุตสาหกรรมในปีที่ผ่านมาแย่กว่าคาด
กระนั้น พรชัยยังกล่าวทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวได้สูงกว่า 3.0% โดยอาจขยายตัวถึง 3.5% หากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศเอื้ออำนวย และเกิดแรงขับเคลื่อน 5 ประการ ดังนี้
- เกิดการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน
- เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของประชาชนผู้ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (ระยะที่ 3) เพื่อทำให้เม็ดเงินทั้งหมดถูกใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ และทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด
- เกิดการเร่งรัดการลงทุนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน
- เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและช่วงปลายปีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33
- เกิดการเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชน หลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ Cloud Region เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริงสู่ระบบเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย
อย่างไรก็ตาม พรชัยกล่าวว่ายังมีปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ
- แนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการตอบโต้ของประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ
- การนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น กับผลกระทบต่อภาคการผลิตของอุตสาหกรรมไทย
- ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในหลายภูมิภาคที่อาจสร้างความผันผวน และจำกัดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
- ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทย ซึ่งอาจกระทบกำลังซื้อและการใช้จ่ายในระยะต่อไป
อ้างอิง: