×

‘YLG’ ลุ้นทองคำปีหน้าแตะ 1,920 ดอลลาร์ รับอานิสงส์ทั่วโลกโหมนโยบาย QE

โดย THE STANDARD TEAM
04.12.2020
  • LOADING...
‘YLG’ ลุ้นทองคำปีหน้าแตะ 1,920 ดอลลาร์ รับอานิสงส์ทั่วโลกโหมนโยบาย QE

YLG เผย ปีหน้าทองมีโอกาสขึ้นแตะระดับ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ รับปัจจัยบวกทั่วโลกงัดนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ใกล้เคียงสถิติปี 2554 ที่หลายประเทศใช้นโยบาย QE ส่งผลให้ทองขึ้นสูงแตะ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ พร้อมแนะนักลงทุนดูปัจจัยแวดล้อม หากตัวเลขการว่างงานสูง รัฐบาลทั่วโลกยังต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินทำ QE แต่หากตัวเลขการจ้างงานเริ่มดี เป็นสัญญาณหยุดทำ QE และขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินไหลออกจากทอง ส่วนปีนี้แม้ล่าสุดทองเริ่มลดลง แต่หากเทียบจากต้นปี ราคายังถือว่าปรับขึ้นมาแล้วเกือบ 20%

 

ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่าราคาทองที่ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำจะเป็นขาลงแล้วหรือไม่ ซึ่งจากการปรับตัวลดลงล่าสุดจะเห็นว่าราคาทองคำยังไม่เป็นขาลง เพราะหากเป็นขาลงจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่เมื่อราคาทองคำปรับลดลงไปที่ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ พบแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาสามารถยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวจึงยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน 

 

ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2563 ยังมีโอกาสได้เห็นราคาทองคำขึ้นไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากเทียบกับราคาต้นปีที่เปิดที่ 1,517 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็ยังถือว่าราคาปรับขึ้นมาเกือบ 20%

 

ส่วนปัจจัยที่มองว่าราคาทองคำในระยะยาว 1-2 ปียังคงเป็นขาขึ้นนั้นมาจากปัจจัยหลักที่จะมีเงินไหลเข้าทองคำจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่จะเข้ามาอย่างมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้ แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปี ดังนั้นแต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งทุกครั้งจะมีเงินอัดฉีดเหล่านี้ไหลเข้ามาในตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่มีการทำ QE พบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับลดลง 

 

แต่ปีที่ลดลงชัดเจนคือปี 2556 ซึ่งเป็นปีที่เลิกทำ QE ทำให้ราคาทองคำปรับลดลงไปที่ระดับต่ำสุดที่ 1,045 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะหากสหรัฐฯ เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีนโยบายหยุดทำ QE เริ่มดึงเงินออกจากระบบ ราคาทองคำก็จะปรับลดลงไป 

 

อย่างไรก็ดี มองในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับลดลงก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านั้นเพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองอยู่ที่ระดับดังกล่าวโดยประมาณ

 

ทั้งนี้ การอัดฉีดเงินของแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการภาคเอกชน ตัวเลขเงินเฟ้อ และตัวเลขการว่างงาน เพราะถ้าออกมาไม่ดี รัฐบาลก็ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อให้ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนและเกิดการลงทุน เงินเหล่านี้ก็จะไหลไปสู่สินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมทั้งทองคำ ส่วนสัญญาณที่จะเลิกทำ QE คือการดึงเงินออกจากระบบหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คือดูตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อ หากตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำต้องระมัดระวังสัญญาณเหล่านี้ เพราะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว นักลงทุนจะมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น และเงินจะเริ่มไหลออกจากตลาดทองคำ

 

สำหรับปีนี้แม้จะมีโควิด-19 ทำให้เกิดวิกฤตทั่วโลก แต่ก็เป็นปีแห่งโอกาสเช่นกัน เพราะปีนี้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เพราะไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ก็สามารถเข้าไปทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้ นอกจากนี้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนทองคำในตลาด TFEX ผ่านการลงทุนโกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์ส (Gold Online Futures) ที่เป็นการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนไม่ต้องมีความกังวลด้านความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงินบาท อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising