×

งานหนัก กินเวลาส่วนตัวไปหมด ถ้าต้องเลือกระหว่างงานกับครอบครัว จะเลือกอะไรดี?

18.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • งานที่เราทำอยู่นั้นสำคัญแค่ไหน หรือเราจะทุ่มเทแค่ไหนก็ตาม วันที่เราไม่อยู่แล้วมีคนมาแทนที่เราได้เสมอ ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปได้ ทุกคนจะปรับตัวได้ และเผลอๆ วันหนึ่งก็จะลืมเรา แต่ครอบครัว ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป เราจะหาใครมาแทนที่ จะมีใครมาแทนที่พ่อแม่เราได้
  • ถ้าดูแล้วงานนี้ไม่เข้ากับเงื่อนไขในชีวิตของเราแล้ว อยากบอกว่างานที่คุณทำอยู่ไม่ใช่งานเดียวในโลก และไม่ใช่ว่าคุณไม่มีทางเลือกอีกแล้วในชีวิต มีงานอยู่อีกเยอะแยะมากมายให้เราทำ เลือกให้เข้ากับเงื่อนไขในชีวิตที่เรามี

Q: งานที่ดิฉันทำอยู่ทุกวันนี้ยุ่งมากค่ะ แทบไม่มีเวลาได้หยุดเลย กลับบ้านดึกตลอด โดนตามงานตลอดเวลา รู้สึกเหนื่อยมากค่ะ อยากกลับไปดูแลพ่อแม่บ้าง ท่านแก่ลงทุกวัน เริ่มป่วยบ้างแล้ว รู้สึกเป็นลูกที่แย่มาก ที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่แทบไม่เจอหน้าพ่อแม่ตัวเองเลยเพราะงานยุ่งมาก จะลาออกก็ไม่รู้จะมีงานใหม่ไหม อายุก็สามสิบปลายๆ แล้ว ไม่เหมือนเด็กๆ ที่หางานง่าย บางทีจะละจากงานก็รู้สึกผิดเหมือนกันค่ะ มันเหมือนเราไม่มีความรับผิดชอบต่องานตัวเอง เครียดเหลือเกินค่ะ ถ้าต้องเลือกระหว่างงานกับครอบครัว จะเลือกอะไรดีคะ

 

A: ก่อนอื่นอยากเป็นกำลังใจให้คุณก่อนครับ สัมผัสได้ว่าคุณคงเครียดมาก ได้ระบายออกมาบ้างก็คงดีขึ้นนะครับ ทุกปัญหามีทางออกเสมอครับ

 

ต้องชื่นชมคุณก่อนเลยที่รู้สึกว่าตัวเองต้องมีความรับผิดชอบทั้งด้านครอบครัวและงานที่ทำอยู่ มีงานก็อยากจะทำงานให้ได้ดี มีครอบครัวก็อยากจะดูแลครอบครัวให้ดี แต่เข้าใจนะครับว่าบางทีชีวิตคนเรามันไม่เอื้ออำนวยให้บริหารหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน ซึ่งทั้งงานและครอบครัวก็สำคัญทั้งคู่ และมีความสัมพันธ์เอื้อต่อกันด้วย ถ้าครอบครัวดีเราก็คงมีกำลังใจไปทำงานด้วย ในขณะเดียวกันถ้างานที่เราทำอยู่ดี กลับบ้านไปเราไม่มีความเครียด เรื่องที่บ้านก็น่าจะดีตามไปด้วย

 

บางคนอาจจะใช้งานเป็นทางออก ไปทุ่มเทกับงานมากๆ เพราะเรื่องที่บ้านอาจจะไม่ค่อยดี จะได้เปลี่ยนโฟกัส เช่นเดียวกัน บางคนรู้สึกแย่กับที่ทำงานมากๆ อยากกลับมาบ้านมาเติมพลังและรู้สึกดีกับตัวเองมากกว่าเวลาทำงาน นอกจากนั้นโลกนี้ยังมีคนที่ทำงานเก่งมากแต่ชีวิตครอบครัวล้มเหลว และมีคนที่เป็นลูกที่ดี เป็นพ่อแม่ที่ดี แต่เป็นคนทำงานที่ไม่เก่ง อันนี้เข้าใจได้หมดครับ  

หันมาอีกทีพ่อแม่เราแก่ตัวลงแล้ว พ่อแม่ที่เคยมีพลังก็เริ่มร่วงโรย เดินเข้าออกโรงพยาบาลกันบ้าง เราเริ่มอยู่ในวัยที่ไปงานแต่งงานเพื่อนและไปงานศพของผู้หลักผู้ใหญ่มากขึ้น มันเป็น Wake Up Call อย่างหนึ่งของคนวัยเรา

ก่อนหน้านี้สมัยที่ผมยังผ่านการทำงานมายังไม่มาก อายุเพิ่งยี่สิบกว่าๆ จนยังมาถึงสามสิบดีนัก โลกของเราส่วนใหญ่คืออยู่นอกบ้าน เรากำลังตื่นเต้นกับโลกการทำงาน เราอยากจะสร้างเนื้อสร้างตัว เราอยากจะทำงานให้มีประสบการณ์เยอะๆ อยากไปเห็นโลกกว้างให้ไกลที่สุด แต่ต่อมาเราจะเริ่มเห็นความจริงของชีวิตคือ หันมาอีกทีพ่อแม่เราแก่ตัวลงแล้ว พ่อแม่ที่เคยมีพลังก็เริ่มร่วงโรย เดินเข้าออกโรงพยาบาลกันบ้าง เราเริ่มอยู่ในวัยที่ไปงานแต่งงานเพื่อนและไปงานศพของผู้หลักผู้ใหญ่มากขึ้น มันเป็น Wake Up Call อย่างหนึ่งของคนวัยเราเหมือนกันนะครับว่าพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป และเวลาของเราเริ่มเดินถอยหลังแล้ว

 

บางทีมันจะเกิดการปะทะกันของความคิดแบบที่คุณและอีกหลายคนกำลังเจออยู่ งานเราก็ต้องทำ ครอบครัวเราก็อยากดูแล จะแยกร่างได้อย่างไร

 

ขอแชร์เรื่องราวของตัวเองหน่อยแล้วกันครับ เผื่อเรื่องของผมจะเป็นประโยชน์กับคุณและใครหลายคนบ้าง สมัยผมทำงานใหม่ๆ ผมก็ทุ่มเทกับงานนี่แหละครับ เพราะรู้สึกว่าถ้าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานพ่อแม่ก็คงภูมิใจ ถ้าเรามีเงินเยอะๆ เราก็คงดูแลพ่อแม่ได้สบายๆ เพราะฉะนั้นตอนนั้นผมมักจะเลือกงานก่อนครอบครัว เพราะรู้สึกว่าไม่เป็นไร ยังมีเวลาให้ดูแลพ่อแม่อยู่ เดี๋ยวก่อนก็ได้ ผมว่าหลายคนก็คงเคยคิดแบบนี้

 

จนวันหนึ่งที่ผมต้องผ่าตัดหัวใจด่วนโดยที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน และผมคิดว่าผมคงเสียชีวิตแล้วแน่นอน ตอนที่นอนอยู่บนเตียงเพื่อรอผ่าตัดนั้น ผมคิดอย่างเดียวเลยนะครับว่า ที่ผ่านมาเรามัวทำบ้าอะไรอยู่ มัวแต่บ้างานจนไม่แบ่งเวลามาอยู่กับพ่อแม่ เสียดายที่สุดที่ยังไม่ทันได้ดูแลครอบครัว เอาแต่คิดว่าเดี๋ยวก่อน ถึงตอนนั้นผมไม่นึกเลยว่าเราส่งไฟล์งานหรือยัง ถ้าเราตายไปจะมีงานอะไรที่ยังค้างอยู่หรือเปล่า เรื่องนั้นผมไม่นึกเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่มีความรับผิดชอบต่องานนะครับ แต่ ณ เวลานั้น ผมรู้สึกจริงๆ ว่าครอบครัวสำคัญมากจริงๆ

 

ผมรอดจากการผ่าตัดครั้งนั้นได้ สิ่งที่ผมได้เห็นคือพ่อแม่ทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ผมมีชีวิตอยู่ให้ได้ พ่อแม่ดูแลผมอย่างดีที่สุดในระหว่างที่ผมต้องพักฟื้นเป็นเดือน ผมได้เห็นความรักของพ่อแม่ที่มีให้ผมจริงๆ และรู้แล้วว่าอะไรสำคัญ ส่วนเรื่องงาน ต้องขอบคุณหัวหน้าผมในตอนนั้นมากที่ไม่คุยเรื่องงานกับผมเลย บอกให้ผมไปพักฟื้นก่อน ไว้ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมา ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ทางนั้นจะจัดระบบการทำงานให้เป็นไปด้วยดีได้เอง

 

หลังจากนั้นมุมมองต่อการทำงานและครอบครัวของผมก็เปลี่ยนไป ผมพบว่าเราไม่ต้องรอให้ตัวเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานก่อนแล้วค่อยดูแลครอบครัวก็ได้ เราน่าจะทำให้ทุกวันเป็นวันที่พ่อแม่ภูมิใจในตัวเราได้

 

ผมเคยนะครับที่ทำงานจนถึงตี 5 แล้วกลับบ้านไปอาบน้ำเพื่อมาประชุมใหม่ตอน 9 โมงในช่วงที่งานรัดตัวมาก มีแวบหนึ่งที่ผมหลับไประหว่างขับรถ จากขับอยู่เลนขวาสุดของถนนวิภาวดี รู้ตัวอีกทีผมมาอยู่เลนซ้ายสุดแล้วแค่แวบเดียว โชคดีที่ไม่เกิดอะไรขึ้น เช้าวันนั้นผมแอบคิดนะครับว่า ถ้าเมื่อกี้ผมตายขึ้นมา ประชุม 9 โมงก็ยังคงดำเนินต่อไป บริษัทจะอยู่ได้ แต่ครอบครัวผมล่ะจะอยู่กันอย่างไร

เราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่เราจะปรับแต่ละอย่างให้เอื้อกันและกันได้ เราเลือกจะปรับงานให้เข้ากับชีวิตครอบครัวได้ เช่นเดียวกับเลือกที่จะปรับครอบครัวให้เข้ากับงานได้

งานที่เราทำอยู่นั้นสำคัญแค่ไหน หรือเราจะทุ่มเทแค่ไหนก็ตาม วันที่เราไม่อยู่แล้ว มีคนมาแทนที่เราได้เสมอครับ และทุกอย่างจะดำเนินต่อไปได้ ทุกคนจะปรับตัวได้ และเผลอๆ วันหนึ่งก็จะลืมเรา แต่ครอบครัว ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป เราจะหาใครมาแทนที่ จะมีใครมาแทนที่พ่อแม่เราได้กันล่ะ คุณว่าไหมครับ

 

แค่จะบอกคุณว่า น่าอิจฉาคุณนะครับที่พ่อแม่ยังอยู่ด้วยกันกับคุณ มีอีกหลายคนที่อยากกลับบ้านไปเจอพ่อแม่แต่เขาไม่มีโอกาสแล้ว เสียดายที่อยู่บ้านเดียวกัน ใกล้กันนิดเดียวแต่ไม่ค่อยได้เจอกัน ผมว่าคุณก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน

 

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้จะบอกว่าให้ทิ้งงานแล้วกลับมาหาครอบครัวนะครับ ไม่งั้นจะเอาอะไรกินล่ะ งานเป็นสิ่งสำคัญ ครอบครัวก็สำคัญ เราแค่ต้องพยายามหาทางบริหารทั้งงานและครอบครัวให้อยู่ในจุดที่ลงตัวให้ได้ เพราะฉะนั้นที่คุณถามว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับงาน จะต้องเลือกอะไร ผมคิดว่าเราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่เราจะปรับแต่ละอย่างให้เอื้อกันและกันได้อย่างไรต่างหากล่ะครับ เราเลือกจะปรับงานให้เข้ากับชีวิตครอบครัวได้ เช่นเดียวกับเลือกที่จะปรับครอบครัวให้เข้ากับงานได้ ของแบบนี้ต้องดูครับว่าระหว่างปรับอะไรเข้าหาอะไรง่ายกว่ากัน หรือเป็นไปได้มากกว่ากัน

 

เวลานี้พ่อแม่แก่แล้ว เริ่มจะป่วยแล้ว อันนี้จะเราจะปรับให้ท่านไม่แก่หรือไม่ป่วยก็อาจจะยาก ผมว่าเราปรับงานน่าจะง่ายกว่า ตอนนี้คุณบอกว่างานยุ่งมาก ต้องกลับมาดูว่าทำอย่างไรให้งานยุ่งน้อยลง ปรับวิธีการทำงานเราได้ไหม ติดขัดตรงไหนอยู่ทำให้มันใช้เวลาเยอะอยู่ตลอดเวลา กระจายงานได้ไหม คนทำงานน้อยไปต้องการคนเพิ่มหรือเปล่า ถ้าปรับวิธีการทำงานได้และทำให้คุณสามารถมีเวลาไปดูแลครอบครัวได้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคุณและเพื่อนร่วมงานด้วยนะครับ เพราะนั่นแปลว่าคนอื่นๆ ก็จะได้มีเวลาเพิ่มด้วยเหมือนกัน

 

หรือเอาจริงๆ งานที่ทำอยู่มันต้องการคนที่พร้อมจะทุ่มให้งานได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อแม้ โดยไม่มีเรื่องอื่นให้ต้องคิด คือเป็นงานที่ออกแบบมาเพื่อเหมาะกับคนที่พร้อมจะหายใจเข้าออกเป็นมันโดยไม่มีด้านอื่นในชีวิตเลย ถ้าเป็นแบบนั้นต้องกลับมาดูแล้วล่ะครับว่าถ้างานมันเป็นแบบนี้ มันยังใช่งานสำหรับเราหรือเปล่า มันเข้ากับเงื่อนไขในชีวิตของเราได้ไหม บางทีคนเราพอเงื่อนไขชีวิตเปลี่ยน งานเดิมอาจจะไม่ตอบโจทย์ก็ได้ ไม่มีอะไรผิดเลย

 

ถ้าดูแล้วงานนี้ไม่เข้ากับเงื่อนไขในชีวิตของเราแล้วล่ะ ผมอยากบอกว่างานที่คุณทำอยู่ไม่ใช่งานเดียวในโลก และไม่ใช่ว่าคุณไม่มีทางเลือกอีกแล้วในชีวิต มีงานอยู่อีกเยอะแยะมากมายครับให้เราทำ เลือกให้เข้ากับเงื่อนไขในชีวิตที่เรามี เรายังรับผิดชอบต่องานเหมือนเดิมเลยครับ เพราะนั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ต้องกังวลว่าคุณจะอายุมากแล้วจะหางานไม่ได้ คนเราถ้ามีความสามารถ ใครๆ ก็อยากได้ไปทำงานด้วยครับ อย่าคิดว่าเรายิ่งแก่แล้วยิ่งไม่มีค่า เพราะเรามีประสบการณ์มากนี่สิครับเราจึงมีค่า

 

ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเลยครับ เราเป็นได้ทั้งลูกที่ดีและเป็นคนทำงานที่ดีได้พร้อมกัน

 

กลับไปกอดพ่อกับแม่แน่นๆ แล้วเอากำลังใจจากท่านมาคิดต่อว่าจะทำอย่างไร เดี๋ยวคุณก็จะเจอทางออก หลายปัญหานั้นผมพบว่าทางออกอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแม่นั่นแหละครับ

 

เป็นกำลังใจให้จริงๆ ครับ  

 

* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising