×

Work from Home อย่างไรให้เวิร์กคะพี่?

04.03.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • วิธีการทำงานแบบ Work from Home ให้เวิร์ก อย่างแรกเราต้องระลึกอยู่เสมอว่า เรากำลัง Work หรือทำงานอยู่ เพียงแค่สถานที่ทำงานมันคือในบ้านของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องรับผิดชอบต่องานที่เราทำอยู่ แม้ไม่มีใครเห็น ไม่มีหัวหน้ามาเดินผ่าน แล้วเราค่อยเปลี่ยนหน้าจอเป็นงานของเรา แต่ตอนนี้เรานี่แหละครับคือคนที่ต้องดูแลตัวเอง ต้องรับผิดชอบต่องานให้ได้ 
  • อย่างที่สองและเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ เราต้องกำหนดเป้าหมายการทำงานให้ชัดเจน วางแผนว่าแต่ละวันหรือแต่ละชั่วโมงเราจะต้องทำงานอะไรออกมาให้เสร็จบ้าง และทำตามนั้นให้ได้ ถ้าเราสามารถทำได้ เท่ากับเราสร้างวินัยในการทำงานให้ตัวเองไปด้วย ต่อไปต่อให้เรากลับไปทำงานที่ออฟฟิศ เราก็สามารถใช้วิธีการกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาที่จะทำให้เสร็จได้เหมือนกัน 
  • สามคือ การจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงาน การทำงานที่บ้านบางทีก็มีสิ่งยั่วยวนเยอะ ตรงนั้นก็เตียงนุ่มๆ น่านอน Netflix ก็มี สุนัข แมว ก็ชอบมาชวนให้เล่นด้วย ฯลฯ มันมีสิ่งรอบตัวที่ขัดขวางการทำงานเราได้หมด เพราะฉะนั้น สำคัญมากที่เราจะจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงาน เมื่อเราตั้งใจจะทำงานแล้วเราก็ต้องทำให้ได้ จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อการทำงานอย่างมีสมาธิด้วยครับ 
  • อย่างสุดท้ายคือ แม้ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน แต่การสื่อสารระหว่างเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าเป็นเรื่องสำคัญอยู่ ยิ่งเราไม่ได้เห็นหน้ากัน เรายิ่งต้องหาทางสื่อสารให้เรายังคงเชื่อมโยงถึงกัน รวมทั้งยังคงต้องทำให้งานเดินหน้าไปได้ต่อ ผมอยากแนะนำว่า ยิ่ง Work from Home ยิ่งต้องคุยกับหัวหน้าเยอะขึ้น เพื่อเช็กว่า สิ่งที่คุณทำอยู่นี้มันใช่ทางที่ถูกอยู่หรือเปล่า คอยถามหัวหน้าเป็นระยะ การที่เราต้องมีเรื่องให้คุยกับหัวหน้าอยู่ตลอดนั้น ในทางหนึ่งก็ช่วยให้เราต้องทำงานให้สำเร็จครับ

Q: ตอนนี้ต้องทำงานจากที่บ้าน แต่รู้สึกว่าทำงานที่บ้านแล้วงานไม่ค่อยเดินเท่าไร แต่จะออกไปข้างนอกก็รู้สึกว่าเปลืองและเสี่ยงอันตรายด้วย ทำอย่างไรให้ Work from Home มันเวิร์กได้จริงๆ คะ

 

A: ต่อให้ไม่มีเรื่องโรคระบาดอย่างที่เป็นอยู่ เทรนด์ของการทำงานที่บ้านหรือการยืดหยุ่นเรื่องสถานที่ทำงานก็เกิดขึ้นในปัจจุบัน และจะยิ่งเพิ่มขึ้นในอนาคต สาเหตุมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้เราเข้าถึงการติดต่อได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่โต๊ะทำงานออฟฟิศอยู่ตลอด หรือต่อให้อยู่กันคนละสถานที่ก็ยังสามารถประชุมผ่าน Video Conference ได้ชัดแจ๋ว ยังไม่ต้องนับว่าเราต้องมีกรุ๊ปไลน์ตั้งกี่กรุ๊ปในการทำงาน (ทั้งกรุ๊ปแบบที่มีหัวหน้าอยู่และแบบที่ไม่มีหัวหน้า ซึ่งเราต้องดูกรุ๊ปดีๆ ก่อนส่งอะไรไป) ที่ทำให้เราสามารถอัปเดตงานกันได้ตลอดเวลา ความจำเป็นของการมีออฟฟิศ มีโต๊ะทำงาน ก็ดูจะน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเรื่องนี้ต่อไปทั้งองค์กรและพนักงานเองก็ต้องปรับตัวและหาวิธีการทำงานที่เวิร์กร่วมกันครับ

 

ในที่ทำงานบางที่ในต่างประเทศอนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน แต่อาจจะมีการกำหนดว่า ในหนึ่งสัปดาห์จะเข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อเจอหน้ากันหรือคุยงานแบบเห็นหน้ากันอยู่กี่วันก็แล้วแต่ การไม่ต้องมีออฟฟิศที่เปิดทุกวันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กรอีกด้วย มาเปิดแอร์ เปิดไฟกันทั้งวัน ก็เป็นเงินเยอะอยู่สำหรับองค์กร 

 

นอกจากนั้นในอนาคตแนวโน้มที่พนักงานหนึ่งคนจะทำงานอยู่ที่เดียวอาจจะน้อยลง เพราะที่ทำงานที่เดียวอาจจะไม่ตอบโจทย์ชีวิตของพนักงานคนหนึ่งได้ทั้งหมด ต่อไปการทำงานที่ผสมผสานกันระหว่างชีวิตแบบฟรีแลนซ์และพนักงานประจำจะเกิดขึ้น นั่นคือเราหนึ่งคนอาจเป็นพนักงานประจำได้มากกว่าหนึ่งที่ (แต่ต้องไม่ใช่ธุรกิจที่ทับซ้อนหรือดันเป็นคู่แข่งกันนะครับ) วิธีนี้เปิดโอกาสให้พนักงานเองได้มีทักษะการทำงานที่หลากหลายขึ้น มีประสบการณ์การทำงานที่แตกต่างกันออกไป รายได้ก็ได้จากหลายทางมากขึ้น สามารถออกแบบชีวิตแบบที่ชอบได้ ในแง่บริษัทเองก็สามารถมีตัวเลือกของพนักงานที่หลากหลายได้มากขึ้น ได้พนักงานที่มีทักษะหลากหลายมากขึ้น 

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ต่อให้วันนี้ไม่มีโรคระบาดที่ทำให้เราต้องทำงานแบบ Work from Home แต่ในอนาคตเราอาจต้อง Work from Home หรือ Work from Anywhere กันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การหาวิธีการ Work from Home ให้เวิร์กตั้งแต่วันนี้ก็เป็นเรื่องดีครับ  

 

วิธีการทำงานแบบ Work from Home ให้เวิร์ก อย่างแรกเราต้องระลึกอยู่เสมอว่า เรากำลัง Work หรือทำงานอยู่ เพียงแค่สถานที่ทำงานมันคือในบ้านของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องรับผิดชอบต่องานที่เราทำอยู่ แม้ไม่มีใครเห็น ไม่มีหัวหน้ามาเดินผ่านแล้วเราค่อยเปลี่ยนหน้าจอเป็นงานของเรา แต่ตอนนี้เรานี่แหละครับคือคนที่ต้องดูแลตัวเอง ต้องรับผิดชอบต่องานให้ได้ องค์กรให้เกียรติเราแล้วว่า ไม่ต้องมีใครมาเฆี่ยนตีอยู่ข้างหลังเราให้เราทำงาน ก็แปลว่าเราต้องมีวุฒิภาวะมากพอที่จะรับผิดชอบตัวเองให้สมกับที่องค์กรให้อิสระและให้เกียรติเรา เพราะฉะนั้น ถ้าจะ Work from Home เราก็ต้องทำงาน ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่มีคนเห็นเราแล้วเราก็หนีเที่ยวหรือเลื้อยอยู่บนเตียงจนงานไม่เดิน ซื่อสัตย์กับตัวเอง และระลึกอยู่เสมอว่า เรายังคงต้องทำงานอยู่ ใช้ชีวิตเหมือนตอนทำงานที่ออฟฟิศ เพียงแค่สถานที่มันเปลี่ยนไปก็เท่านั้นครับ

 

อย่างที่สองและเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ เราต้องกำหนดเป้าหมายการทำงานให้ชัดเจน วางแผนว่าแต่ละวันหรือแต่ละชั่วโมง เราจะต้องทำงานอะไรออกมาให้เสร็จบ้าง และทำตามนั้นให้ได้ ถ้าเราสามารถทำได้ เท่ากับเราสร้างวินัยในการทำงานให้ตัวเองไปด้วย ต่อไปต่อให้เรากลับไปทำงานที่ออฟฟิศ เราก็สามารถใช้วิธีการกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาที่จะทำให้เสร็จได้เหมือนกัน มันดีกว่าเราปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์โดยที่ไม่มีอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันเลย เพราะฉะนั้น มีเป้าหมาย มีระยะเวลา และลงมือทำให้ได้ตามนั้นอย่างเคร่งครัด

 

มีเคล็ดลับหนึ่งที่ผมใช้นะครับ เอาไปใช้ได้ก็คือ ถ้าต้อง Work from Home ผมจะซักผ้าไปด้วย สมมติเครื่องซักผ้าจะซักผ้าเสร็จหนึ่งรอบภายใน 45 นาที ผมก็จะตั้งใจไว้แล้วว่าใน 45 นาทีนี้ที่ผ้ากำลังจะเสร็จ ผมต้องทำงานเสร็จอะไรสักชิ้น ถ้าไม่เสร็จผมก็จะรู้สึกอายหน่อยที่เครื่องซักผ้ามันยังทำเสร็จ หรือบางทีผมก็จะรู้สึกกับตัวเองเลยว่า ซักผ้าไปสองรอบแล้ว แต่งานยังไม่เสร็จเลย ทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว!

 

อย่างที่สามคือการจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงาน การทำงานที่บ้านบางทีก็มีสิ่งยั่วยวนเยอะ ตรงนั้นก็เตียงนุ่มๆ น่านอน Netflix ก็มี สุนัข แมว ก็ชอบมาชวนให้เล่นด้วย ฯลฯ มันมีสิ่งรอบตัวที่ขัดขวางการทำงานเราได้หมด เพราะฉะนั้น สำคัญมากที่เราจะจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการทำงาน เมื่อเราตั้งใจจะทำงานแล้ว เราก็ต้องทำให้ได้ จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อการทำงานอย่างมีสมาธิด้วยครับ ถ้าเป็นไปได้ สร้างมุมทำงานไว้โดยเฉพาะ ที่ต่อไปนี้คุณจะขลุกอยู่ที่นี่เพื่อทำงานเท่านั้น ต่อให้เป็นคอนโดห้องเดิมก็เถอะ แต่มุมทำงานของคุณไม่ควรเป็นมุมเดียวกับคุณนอนสบายใจเฉิบหรอกครับ

 

วิธีส่วนตัวที่ได้ผลกับผมมากๆ ก็คือ อย่าทำงานบนเตียง Work from Bed สำหรับผมไม่รอดเลย อย่าคิดว่าไม่เป็นไร นอนคิดงานเล่นเดี๋ยวไอเดียก็มา สบายเกินไปงานก็ไม่เดินครับ อย่าเปิด Netflix ไปด้วย แล้วก็ทำงานไปด้วย เพียงเพราะคิดว่าเอาแค่เปิดให้มีเสียง จะได้รู้สึกว่าไม่เงียบเกินไปหรืออยู่คนเดียว ทำงานอยู่แล้วมีซีรีส์เรื่องโปรดมาเล่นอยู่ข้างๆ ผมว่าเราก็ไม่น่ารอดนะครับ ฮ่าๆ นั่งทำงานก็คือนั่งทำงาน แต่ก็อย่างที่บอกครับว่า ถ้าคุณมีกำหนดเวลาที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าจะทำงานเมื่อไร แต่ละชั่วโมงจะทำอะไรเสร็จบ้าง จะพักนานเมื่อไรและนานแค่ไหน ช่วงเวลาที่คุณพัก คุณจะมาเล่นกับสุนัขและแมวก็ได้ แต่พอครบกำหนดเวลา ได้โปรดบอกสุนัขและแมวว่าหมดเวลาของพวกเธอแล้ว และถึงคราวที่คุณจะกลับไปทำงานต่ออย่างจริงจังต่อไป

 

แต่สำหรับบางคน บ้านอาจไม่ใช่สถานที่ทำงานที่เวิร์กก็ได้ครับ เพราะสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อ ในกรณีที่ไม่จำเป็นจริงๆ ว่าต้องติดแหง็กอยู่ที่บ้านเพื่อกักตัวในเรื่องความเสี่ยงของโรคติดต่อนะครับ หาให้เจอว่าคุณชอบทำงานที่สถานที่แบบไหนและบ้านใช่ที่แบบนั้นหรือเปล่า บางคนอาจจะชอบทำงานที่ร้านกาแฟหรือโคเวิร์กกิ้งสเปซมากกว่า ชอบที่ไหนให้ไปที่นั่นครับ ตราบเท่าที่งานมันเวิร์ก และอย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายด้วย ในอนาคต ถ้าองค์กรเห็นว่า Work from Anywhere มันมาแน่นอน ต่อไปอาจจะต้องคิดถึงสวัสดิการในส่วนนี้ด้วยครับ เพราะเป็นประโยชน์กับพนักงานและได้ใช้แน่นอนครับ

 

นอกจากสิ่งแวดล้อมแล้ว ยุคนี้มีแพลตฟอร์มที่ช่วยในการทำงานได้มากครับ เอาง่ายๆ แค่ Google Document ก็ช่วยให้เราเห็นแล้วครับว่าทีมงานแต่ละคนทำงานถึงไหนกันแล้ว ยังอยู่ในไทม์ไลน์หรือเปล่า ตรงนี้แหละครับที่จะช่วยให้เรารู้สึกว่าเราจะทิ้งงานไม่ได้ เพราะคนอื่นก็ทำงานอยู่ หรืออีกทางหนึ่ง เราเองนี่แหละจะได้เป็นคนกระตุ้นให้ทุกคนกลับมาอยู่ในไทม์ไลน์ได้ หรือต้องมาดูครับว่าองค์กรของคุณซัพพอร์ตระบบไอทีแบบไหนบ้างที่ช่วยให้ทีมงานทำงานได้ คือถ้าไอทีล็อกไว้ว่าคอมพิวเตอร์ของคุณใช้งานได้เฉพาะที่ออฟฟิศอันนี้จบเห่เลย ในมุมองค์กรเหมือนกันครับ เมื่อเราเห็นแนวโน้มแล้วว่า ในอนาคตวิธีการทำงานจะต้องเปลี่ยนเป็น Work from Anywhere แน่นอน องค์กรได้เตรียมพนักงานหรือเตรียมซัพพอร์ตตรงนี้อย่างไรบ้าง ฝากไว้ให้คิดครับ

 

อย่างสุดท้ายคือ แม้ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน แต่การสื่อสารระหว่างเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าเป็นเรื่องสำคัญอยู่ ยิ่งเราไม่ได้เห็นหน้ากัน เรายิ่งต้องหาทางสื่อสารให้เรายังคงเชื่อมโยงถึงกัน รวมทั้งยังคงต้องทำให้งานเดินหน้าไปได้ต่อ ผมอยากแนะนำว่า  ยิ่ง Work from Home ยิ่งต้องคุยกับหัวหน้าเยอะขึ้น เพื่อเช็กทางว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นี้มันใช่ทางที่ถูกอยู่หรือเปล่า คอยถามหัวหน้าเป็นระยะ การที่เราต้องมีเรื่องให้คุยกับหัวหน้าอยู่ตลอดนั้น ในทางหนึ่งก็ช่วยให้เราต้องทำงานให้สำเร็จครับ เช่นเดียวกัน เราก็อาจจะช่วยดึงให้หัวหน้า ซึ่งอาจจะกำลังนอนหง่าวอยู่บนเตียงอย่างสบายใจว่า Work form Home ให้กลับมาทำงานได้

 

และต่อให้คุณทำงานอยู่บ้าน ผมก็อยากแนะนำว่า ให้คุณหาทางสื่อสารกับ ‘มนุษย์’ คนอื่นบ้าง ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานออฟฟิศก็คือ คุณยังได้สื่อสารกับมนุษย์คนอื่นบ้าง ซึ่งในด้านจิตใจ มันทำให้คุณไม่รู้สึกโดดเดี่ยว คุณยังได้คุยกับคนอื่นบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้าต้องทำงานที่บ้านจริง อย่าลืมพูดคุยกับคนอื่นๆ ด้วยนะครับ อาจจะเป็นคนในครอบครัว หรือโทรหาเพื่อนก็ดีครับ เอาเป็นการพูดคุยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน จะได้ผ่อนคลายไปด้วยครับ แต่ถ้าอยู่ในโหมดต้องกักตัวเพื่อเฝ้าระวังโรค ใช้การโทรคุยกับมนุษย์คนอื่นไปก่อนนะครับ อย่าเพิ่งเจอหน้ากันจนครบกำหนดก่อน

 

ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม สถานที่อาจจะเปลี่ยน แต่สิ่งที่ต้องไม่เปลี่ยนคือวินัยและความตั้งใจในการทำงานครับ อ่านบทความนี้จบแล้วก็ไปลุยงานต่อ ไม่ใช่เลื้อยกลับไปนอนนะครับ ฮ่าๆ

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์มาที่ Facebook: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ (Facebook.com/Toffybradshawwriter) 

 

 

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising