×

LVMH จับมือ F1 ดีลนี้มีความสำคัญอย่างไรต่อการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง?

04.10.2024
  • LOADING...

1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขขั้นต่ำที่สื่อหลายสำนักรวมไปถึง Bloomberg และ Forbes การันตีว่า ศึกรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลกจะได้รับการสนับสนุนจาก LVMH ในดีลที่เพิ่งได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา

 

ย้ำว่าขั้นต่ำ!

 

เพราะสื่อบางแห่งในยุโรปรายงานว่า ตัวเลขสุทธิของดีลนี้อาจจะสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.97 หมื่นล้านบาท สำหรับดีลระยะเวลา 10 ปีดังกล่าว

 

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสื่อหลายแห่งถึงเรียกดีลนี้ว่าเป็น ‘ดีลประวัติศาสตร์’ เพราะนอกจากตัวเลขอันมหาศาลแล้ว ดีลนี้ยังมีความสำคัญต่อทั้งสองฝ่ายอย่างยิ่งด้วย

 

แต่ตัวเลขก็เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดีลนี้ยิ่งใหญ่เท่านั้น เพราะสำหรับ F1 และ LVMH แล้ว ผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายคาดว่าจะได้รับนั้นมีมากมายไม่แพ้ตัวเลขที่ระบุเอาไว้เลย

 

F1 จะได้อะไรจาก LVMH

 

ภาพ: F1

 

นอกจากเงินสนับสนุนก้อนโตอย่างน้อยปีละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,300 ล้านบาท จาก LVMH แล้ว สิ่งที่ F1 จะได้จากดีลนี้ยังมีอีก 2 เรื่องใหญ่ๆ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขายากที่จะปฏิเสธการสนับสนุนของกลุ่มธุรกิจสินค้าหรูของฝรั่งเศสในครั้งนี้

 

เรื่องแรกคือ ฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยกลุ่ม LVMH ไม่ได้มีสินค้าหรือธุรกิจเพียงอย่างเดียวในมือ ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแบรนด์ในความดูแลถึง 75 แบรนด์ ซึ่งนั่นรวมถึงแบรนด์หลักๆ อย่าง Louis Vuitton, Moët Hennessy และ TAG Heuer ซึ่งเป็นพันธมิตรปัจจุบันของเรดบูล เรซซิงด้วย

 

จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมาจะเห็นว่าสินค้าทั้ง 3 แบรนด์นั้นมีความแตกต่างกันในตัวเอง Louis Vuitton คือสินค้ากลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนัง, Moët Hennessy คือสินค้ากลุ่มไวน์และแอลกอฮอล์ ส่วน TAG Heuer คือสินค้ากลุ่มนาฬิกาและเครื่องประดับ

 

สิ่งที่ทั้ง 3 แบรนด์มีร่วมกันคือ ความพยายามเจาะตลาดในกลุ่มของกีฬา และมันยังเป็นสิ่งที่ F1 ต้องการเช่นกัน

 

ปัจจุบันในฤดูกาล 2024 นั้น F1 มี Ferrari Trento เป็นผู้สนับสนุนหลักในแง่ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และแน่นอนว่ารวมถึงแชมเปญที่นักขับนำมาฉีดใส่กันในช่วงการฉลองแชมป์ด้วย 

 

ขณะที่สินค้าในกลุ่มนาฬิกา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่จะขึ้นบนหน้าจอถ่ายทอดสดทุกครั้งเมื่อมีการจับเวลาการแข่งขัน เป็น Rolex ที่ถือครองความเป็นพันธมิตรในปีนี้อยู่

 

และทั้งคู่จะหมดสัญญากับ F1 หลังจบฤดูกาลนี้พร้อมกัน!

 

การมาของ LVMH จึงเป็นการ ‘เข้ามาเสียบ’ ช่องว่างอย่างพอดิบพอดี ทำให้ F1 ที่จะต้องปิดดีลพาร์ตเนอร์ในกลุ่มที่กำลังจะหมดสัญญาในไม่กี่เดือนข้างหน้าไม่ต้องกังวลกับผู้สนับสนุนแต่อย่างใด

 

นอกจากนั้นอีกสิ่งหนึ่งที่ F1 จะได้จาก LVMH คือฐานลูกค้าในกลุ่มไฮเอนด์ที่มีกำลังในการใช้จ่ายสูง ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นจากความร่วมมือในครั้งนี้

 

แน่นอนว่าปัจจุบัน F1 ก็มีลูกค้าในกลุ่มนี้ไม่น้อยอยู่แล้ว แต่การได้ลูกค้าในกลุ่มนี้เพิ่มเติมไม่ใช่เรื่องเสียหายสำหรับ F1 เลย 

 

นอกจากนี้การได้ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นยังจะช่วยยกสถานะของ F1 (จากที่สูงอยู่แล้ว) ให้สูงขึ้นไปอีก และนั่นอาจนำมาซึ่งการขายสินค้าบางอย่างสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้นด้วย

 

LVMH จะได้ประโยชน์ใดบ้างจาก F1

 

 

ในทางกลับกัน จากที่ F1 ต้องการแบรนด์มาอุดรอยรั่วด้านสปอนเซอร์ที่จะหมดสัญญาลงทั้ง Ferrari Trento และ Rolex การเข้ามาอุดรอยรั่วเหล่านี้ของ LVMH ก็ถูกมองว่าเป็นชัยชนะในการแย่งลูกค้าของพวกเขาไปในตัว

 

แม้จะต้องจ่ายเงินมหาศาลถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นอย่างน้อยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ธุรกิจสินค้าหรูหราของฝรั่งเศสจะมีความร่วมมือกับ F1 แต่ในระยะเวลาดังกล่าวคือการกันไม่ให้คู่แข่งสำคัญๆ โดยเฉพาะ Rolex มีพื้นที่ในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเช่นกัน

 

โดย Bloomberg มองว่า เป็นชัยชนะของ LVMH และ TAG Heuer (อาจรวมไปถึง Hublot หรือ Zenith) ที่มีเหนือคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Rolex

 

สื่อชื่อดังยังมองในทางตรงกันข้ามว่า สำหรับ Rolex แล้ว การสูญเสียข้อตกลงการสนับสนุนที่มีต่อ F1 ถือเป็นความพ่ายแพ้สำหรับแบรนด์นาฬิกาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกบนเวที F1 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการแข่งขันรถยนต์ระดับชั้นนำตลอดมา และนับเป็นการยุติช่วงเวลายาวนาน 12 ปีที่พวกเขาเข้ามาให้การสนับสนุน F1 ตั้งแต่ปี 2013 ลงด้วย

 

ทางด้าน LVMH และ LVMH Watches ที่มี เฟรเดริก อาร์โนลต์ เป็นผู้นำ ไม่ได้เพิ่งมามีบทบาทในกีฬา F1 ผ่านดีลนี้แต่อย่างใด เพราะแฟนๆ F1 ต่างรู้จักชื่อ TAG Heuer เป็นอย่างดีในฐานะผู้สนับสนุนทีมเรดบูล เรซซิง

 

แถมพวกเขายังตีตลาดแฟนๆ F1 ด้วยการจับมือกับ Kith แบรนด์สตรีทแวร์สัญชาติอเมริกัน ทำนาฬิกาข้อมือรุ่น F1 วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ด้วย

 

ขณะที่แบรนด์เรือธงอย่าง Louis Vuitton พวกเขาก็มีบทบาทในโลกกีฬามาแล้วสักระยะ และที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้คือ การเป็นผู้สนับสนุนโอลิมปิกเกมส์ 2024 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งพวกเขาก็ทำให้แฟนๆ ประทับใจได้ทั้งชุดผู้เชิญเหรียญรางวัลและการดีไซน์ถาดใส่เหรียญรางวัลด้วย

 

และหากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ในฟุตบอลโลก 2022 เราก็ได้เห็นแคมเปญที่พวกเขานำ คริสเตียโน โรนัลโด และ ลิโอเนล เมสซี มาเล่นหมากรุกด้วยกัน จนภาพดังกล่าวกลายเป็นไวรัล และไม่นานมานี้พวกเขาก็เพิ่งเปิดตัวสินค้าโดยมีนักเทนนิสระดับตำนานอย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดาล มาถ่ายแบบร่วมกันด้วย

 

นี่จึงเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของ LVMH ในการดึงลูกค้าที่เป็นแฟนๆ กีฬามาเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ และด้วยฐานะลูกค้าของ F1 ซึ่งโดยส่วนมากเป็นคนมีฐานะระดับหนึ่งแล้ว แผนการนี้ของ LVMH จึงถือเป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาด และยิงปืนนัดเดียวได้นกมากกว่า 1 ตัวแน่นอน

 

กุญแจสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้บริโภค

 

ภาพ: Netflix

 

ความร่วมมือระหว่าง LVMH และ F1 เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับทั้งสององค์กร เพราะเป็นช่วงเวลาที่การแข่งขันในแง่ผู้สนับสนุนของ F1 ไม่เคยเปิดกว้างเท่านี้มาก่อน และพร้อมกันนั้น กีฬาชนิดนี้ก็ยังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ปรากฏการณ์ Formula 1: Drive to Survive ของ Netflix สร้างฐานแฟน F1 กลุ่มใหม่ๆ ไปทั่วโลก โดยมีรายงานระบุว่า อายุเฉลี่ยของผู้ชม F1 ทางทีวีลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ซีรีส์นี้ออกอากาศเป็นครั้งแรก 

 

จากการสำรวจกลุ่มผู้ชม F1 มีอายุเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 32 ปีเท่านั้น จากเดิมก่อนที่ Formula 1: Drive to Survive จะออกอากาศครั้งแรก กลุ่มผู้ชมมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 44 ปี 

 

แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำหรับสินค้าแบรนด์หรูได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยรายงานของ Bain & Company ในปี 2024 พบว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 เกือบ 1 ใน 3 มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าแบรนด์เนมภายในปี 2030

 

ขณะเดียวกันกลุ่มคน Gen Y ที่เกิดระหว่างปี 1981-1996 มีแนวโน้มที่จะซื้อและใช้สินค้าแบรนด์เนมมากกว่า Gen Z ด้วยซ้ำ

 

นั่นทำให้การลดลงของกลุ่มอายุผู้ชม F1 กับการเข้ามาสนับสนุนการแข่งขันของ LVMH เกื้อหนุนกันด้วยปัจจัยสำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้บริโภคของ F1

 

และนั่นอาจเป็นชัยชนะอีกครั้งของ F1 ซึ่งครั้งนี้พวกเขาไม่ต้องไปขอบคุณใคร เพราะเป็นพวกเขาเองนั่นแหละที่เลือกจะตอบตกลงต่อ Netflix ในการสร้างซีรีส์สารคดี Formula 1: Drive to Survive เมื่อปี 2018 ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นก็อาจเรียกได้ว่า นำมาสู่ดีลประวัติศาสตร์ของ LVMH ในตอนนี้

 

ปี 2025 ครบรอบ 75 ปี F1 และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

 

 

ในปี 2025 จะเป็นการฉลองครบรอบ 75 ปีของศึก F1 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขายืนยันว่าจะเป็น ‘ก้าวแรกสู่ยุคใหม่’ เพราะในปี 2025 ศึก F1 จะใช้เครื่องยนต์ V6 Hybrid Turbo Power เป็นปีที่ 12 และเป็นปีสุดท้าย เพื่อเปิดทางสู่การปรับปรุงรถครั้งใหม่ที่จะตอบสนองนโยบายคาร์บอนเป็น 0 ภายในปี 2030

 

ดังนั้นในปีนี้เราจึงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านผู้สนับสนุนที่จะเข้ามาเริ่มเป็นพันธมิตรกับ F1 ในปีหน้าบ้างแล้ว โดยนอกจาก LVMH ที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีพันธมิตรอื่นๆ อย่าง LEGO, Lenovo และ Santander

 

ความเหมือนกันของทั้ง 3 แบรนด์คือ ทั้งหมดต่างมีความสัมพันธ์อันดีกับ F1 มาก่อน หรือไม่ก็เคยสนับสนุนทีมใดทีมหนึ่งใน F1 มาแล้ว 

 

นอกจากนี้ทั้ง 3 แบรนด์ยังมีสิ่งเดียวกับที่ LVMH มีในการเข้ามาสนับสนุน F1 นั่นคือ ความร่วมมือและผลประโยชน์ในทางอ้อม

 

LEGO คือแบรนด์ของเล่น แต่พวกเขาเคยทำคอลเล็กชันของ F1 มาแล้ว โดยมีทั้งของทีมแม็คลาเรนและเมอร์เซเดส ซึ่งแน่นอนว่าขายดิบขายดี และการเข้ามาของ LEGO จะช่วยเรื่องการทำเมอร์แชนไดส์ของ F1 ให้น่าประทับใจและเป็นที่ต้องการยิ่งกว่าเดิม

 

ส่วน Lenovo บริษัทคอมพิวเตอร์สัญชาติจีน ก็จะมีบทบาทเดิมจากการต่อสัญญาฉบับใหม่ นั่นคือการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างการแข่งขัน ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ F1

 

ขณะที่ Santander เป็นสถาบันทางการเงินที่มีเสถียรภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 19 ของโลก นอกจากนี้พวกเขายังมีบริษัทในเครือทำเกี่ยวกับสภาพคล่อง, การลงทุน, ตลาด และหุ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ย่อมต้องเป็นประโยชน์ต่อ F1 ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

เชื่อว่าหลังจากนี้ F1 จะได้พันธมิตรเพิ่มเติมอีกไม่น้อย แต่สำหรับ LVMH กับพันธมิตรที่เปิดตัวร่วมกันไปแล้วทั้งหมด เราก็พอจะเห็นว่า F1 ไม่ได้มองแค่ตัวเลขเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเขายินดีที่จะก้าวไปพร้อมกับพันธมิตรใหม่ๆ 

 

ดีลระหว่าง F1 กับ LVMH จึงแสดงให้เห็นว่า การแข่งขันของพวกเขาผ่านความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ทำให้ผู้ชนะไม่จำเป็นต้องมีเพียงคนเดียวบนโพเดียมอีกต่อไป

 

เพราะพวกเขาได้สร้างสถานการณ์ที่ Win-Win สำหรับทุกฝ่ายได้อย่างลงตัว

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising