×

ลงทุนสอดรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ไทย กับ ‘WHART’ กอง REIT คลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

โดย THE STANDARD TEAM
25.10.2022
  • LOADING...
WHART

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้รับผลกระทบจำกัดจากการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกลุ่ม E-Commerce ที่มีการเติบโตสูง ยิ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีความสำคัญมากขึ้น

 

สำหรับทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) เป็นหนึ่งในกอง REIT ที่ได้รับผลประโยชน์จากภาคธุรกิจนี้โดยตรง ด้วยการให้บริการกับภาคธุรกิจนี้ในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค (FMCG) หรือผู้ประกอบการ E-Commerce


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ล่าสุด WHART ซึ่งเป็นกอง REIT ด้านคลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้เปิดแผนขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจนี้ เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งทางด้านทำเลที่ตั้ง รูปแบบอาคารที่ตอบโจทย์ผู้เช่าทั้งแบบ Built-to-Suit ที่จะสร้างอาคารตามรูปแบบที่ผู้เช่าต้องการ และ Ready Built อาคารสำเร็จรูปที่ตอบโจทย์การทำงานที่หลากหลายของผู้เช่า พร้อมผู้เช่าชั้นนำและสัญญาเช่าเฉลี่ยระยะยาว

 

การระดมทุนครั้งนี้จะเข้าเสริมจุดแข็งของกองทุนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ทั้งในด้านของการพัฒนาคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ซึ่งโดยปกติแล้วผู้เช่ากลุ่มนี้จะทำสัญญาเช่าระยะยาว ทำให้กอง WHART มีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยคงเหลือกับลูกค้ายาวถึง 3.55 ปี ภายหลังการลงทุนเพิ่มครั้ง นี้

 

ปัจจุบันผู้เช่าของ WHART ค่อนข้างหลากหลาย มีการกระจายตัวดี โดยอยู่ในอุตสาหกรรมหลัก 3 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่ม E-Commerce เช่น Alibaba, Shopee และ JD Central
  2. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) เช่น Tops, Unilever, Starbucks และ Kao Commercial
  3. กลุ่มผู้ให้บริการทางโลจิสติกส์ เช่น Kerry และ APL Logistics

 

โดยสินทรัพย์ของ WHART กระจายอยู่ใน 4 ทำเลหลัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญของไทย ได้แก่

  1. ถนนบางนา-ตราด เป็นพื้นที่ใกล้กรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อทุกส่วนของประเทศ ทั้งท่าเรือในภาคตะวันออกหรือสนามบินสุวรรณภูมิ
  2. อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพื้นที่หลักในการกระจายสินค้าไปยังภาคเหนือหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
  3. พื้นที่ EEC จังหวัดชลบุรี กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในระยะยาวด้วยการส่งเสริมของภาครัฐ เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมากและอยู่ใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง
  4. จังหวัดสมุทรสาคร เป็นทำเลที่สำคัญของกลุ่มธุรกิจอาหารทะเล และกระจายสินค้าลงไปยังภาคใต้

 

นอกจากนี้การลงทุนเพิ่มเติมภายหลังการระดมทุนรอบใหม่จะเปิดโอกาสของการเพิ่มรายได้และจ่ายผลตอบแทนได้สูงขึ้น โดยคาดว่าผลตอบแทนจะสูงขึ้นเป็น 0.80 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากประมาณการจ่ายผลตอบแทนจากทรัพย์สินเดิมของกองทรัสต์ WHART ที่ระดับ 0.78 บาทต่อหน่วย (อ้างอิงจากงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติ สำหรับปีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีแล้ว)

 

ทั้งนี้ ผลตอบแทนทั้งก่อนและหลังเกิดโควิดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างที่จะทำได้สม่ำเสมอ

  • ปี 2018 อัตราผลตอบแทน 0.7585 บาทต่อหน่วยลงทุน
  • ปี 2019 อัตราผลตอบแทน 0.7624 บาทต่อหน่วยลงทุน
  • ปี 2020 อัตราผลตอบแทน 0.7578 บาทต่อหน่วยลงทุน
  • ปี 2021 อัตราผลตอบแทน 0.7578 บาทต่อหน่วยลงทุน
  • งวด 6 เดือนแรก ปี 2022 อัตราผลตอบแทน 0.3835 บาทต่อหน่วยลงทุน

 

สำหรับโอกาสในการร่วมลงทุนครั้งนี้เพื่อเติบโตไปกับก้าวใหม่ของ WHART จะเปิดจองซื้อสำหรับผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิจองซื้อในวันที่ 7-11 พฤศจิกายน 2565 และสำหรับประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นบุคคลตามดุลพินิจของของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ จองซื้อในวันที่ 15-18 พฤศจิกายน 2565

 

โดยผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิจะจองซื้อที่ราคาเสนอขายสูงสุดที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะมีการคืนส่วนต่างหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า ส่วนประชาชนทั่วไปจะจองซื้อที่ราคาเสนอขายสุดท้าย โดยราคาเสนอขายสุดท้ายกำหนดโดยกระบวนการ Book Building

 

นักลงทุนสามารถจองซื้อผ่านทางเว็บไซต์ K-My Invest และสาขาของธนาคารกสิกรไทย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทย โทร. 0 2888 8888 ต่อ 819

 

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าลงทุนใน WHART สามารถดูรายละเอียดได้ที่

 

คำเตือน: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising