×

Apple Intelligence: กลยุทธ์ (แอบ) บีบให้ผู้ใช้ iPhone อัปเกรด? แต่นักวิเคราะห์มอง อาจจะแก้เกมยอดขายซบไม่ได้ (ในเร็วๆ นี้)

17.06.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 MIN READ
  • Apple Intelligence กลายเป็นประเด็นที่ไม่เพียงแค่ให้ประโยชน์กับ OpenAI ในการตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำในด้านปัญญาประดิษฐ์ แต่ Microsoft ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ OpenAI พลอยได้อานิสงส์ทางอ้อมจากความร่วมมือนี้ไปด้วย
  • Google ยอมจ่ายเงินเฉลี่ย 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีให้กับ Apple เพื่อให้บริการเสิร์ชเอนจินของตนเป็นตัวเลือกแรกบน Safari แต่การมาของ ChatGPT ใน Siri อาจจะกำลังเข้ามาดิสรัปต์เสิร์ชเอนจินแบบเดิมที่ทำให้ผู้ใช้งานมองข้าม Google จนกระทบต่อยอดการใช้งานเว็บไซต์ได้
  • iPhone มีสัดส่วนการสร้างรายได้ให้ Apple ราว 50% แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยอดขายของสมาร์ทโฟนดังกล่าวแทบจะไม่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเลย แต่ล่าสุด Apple งัด AI ของตัวเองออกมาเพื่อจูงใจให้ผู้ใช้งานอัปเกรดสมาร์ทโฟนใหม่
  • การตัดสินใจนี้ทำให้นักวิจารณ์ออกมาแสดงความเห็นว่า Apple ‘กั๊ก’ เพราะทำให้โมเดลสมาร์ทโฟนรุ่นต่ำกว่า iPhone 15 Pro ใช้งานฟีเจอร์ Apple Intelligence ไม่ได้

ราคาหุ้นของ Apple ลดลงราว 2% ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังการเปิดตัว Apple Intelligence ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากการ ‘Buy the rumour, sell the news’ หรือปรากฏการณ์ที่นักลงทุนมีการคาดไว้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจะต้องเกิดขึ้น

 

โดยในกรณีของ Apple คือการคาดว่าโลกจะได้เห็น AI จากบริษัทบิ๊กเทครายนี้เสียที และมันก็เป็นเช่นนั้นตามคาด ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มเลือกขายทำกำไรระยะสั้นไปก่อน

 

อย่างไรก็ดี สองวันถัดมาหลัง Apple Intelligence เปิดตัว สถานการณ์กลับกลายเป็นว่าราคาหุ้นของ Apple ดีดตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 220 ดอลลาร์สหรัฐ กลับขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อยและกลับมาตามหลัง Microsoft ในอันดับที่สอง (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2024)

 

แต่จุดที่น่าสังเกตของความเคลื่อนไหวครั้งนี้คือการเขย่าจุดสมดุลของแข่งขันในสังเวียน AI โดยเฉพาะกับผู้เล่นรายใหญ่ที่อยู่ในตลาดตอนนี้อย่าง Google และ Microsoft

 

อีกหนึ่งประเด็นใหญ่คือการแก้เกมของ Apple ในการจะกอบกู้ยอดขาย iPhone ให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากสินค้าตัวนี้เปรียบเสมือนเครื่องทำเงินให้กับบริษัทกว่า 50% แต่กลับมีอัตราการเติบโตชะลอตัวในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

 

เหตุผลหลักของการชะลอตัวคือการที่ผู้ใช้งานบางกลุ่มมองว่ายังไม่จำเป็นต้องอัปเกรด iPhone รุ่นใหม่ แต่ต่อจากนี้ Apple Intelligence อาจจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่น่าจะทำให้ผู้ใช้งานหลายคนคิดหนักว่า iPhone ที่ตนมีอยู่อาจ ‘ตกยุค’ ไปแล้ว

 

อ้างอิง: Apple

 

Microsoft ผู้ที่ทั้งได้และเสียจากความร่วมมือ Apple-OpenAI?

 

Wall Street Journal (WSJ) รายงานว่า ณ เวลาปัจจุบัน เงินลงทุนที่ Microsoft ทุ่มให้กับ OpenAI มีมูลค่ากว่า 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.78 แสนล้านบาท) ซึ่งนับเป็นบริษัทที่หนุนหลัง OpenAI รายใหญ่ที่สุดในมุมของจำนวนเงินลงทุน โดยการลงทุนนี้ก็แลกมากับการที่ Microsoft ได้สิทธิ์ส่วนแบ่งกำไรจาก OpenAI สูงถึง 49%

 

ด้วยความที่ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่เข้าถึงคนทั่วโลกมากที่สุด การประกาศจับมือกับ OpenAI เพื่อนำ ChatGPT เข้ามาใช้งานร่วมกับผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri ของ Apple ก็มีแนวโน้มสูงที่จะผลักให้ดีมานด์การใช้บริการกับกำไรของ OpenAI เพิ่มขึ้น

 

และเรื่องนี้ก็ส่งผลต่อ Microsoft ด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่จัดสรรทรัพยากรคลาวด์สำหรับประมวลผล ChatGPT รายเดียว ทำให้การใช้งานคลาวด์ที่สูงขึ้นก็จะส่งผลให้รายได้ของ Microsoft เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 

นอกจากนี้ เว็บไซต์ VentureBeat ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการที่ Microsoft เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ OpenAI จะให้ผลประโยชน์ทางอ้อมกับ Microsoft เพราะอินไซต์ที่ OpenAI ได้จากความร่วมมือกับ Apple ก็อาจทำให้พวกเขาได้เรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของระบบ Apple Intelligence และ Siri แม้ว่าทาง Microsoft จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของ Apple ได้โดยตรงหรือเต็มรูปแบบก็ตาม

 

“การมีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจของ Microsoft อย่างใกล้ชิดกับ OpenAI เป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก เพราะตอนนี้พวกเขาต่างมีเอี่ยวกับบริษัทเทคโนโลยีที่มีฐานลูกค้ามากที่สุดในโลก (Apple)” นักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ทุกเรื่องราวมีสองมุมเสมอ ทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยในมุมที่ความร่วมมือครั้งล่าสุดไประแคะระคาย Microsoft คือแผนการที่บริษัทมีความทะเยอทะยานจะพัฒนาสินค้า AI ที่เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างให้มากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาได้ประกาศเปิดตัว ‘Copilot+ PCs’ ไลน์อัพแล็ปท็อปที่ฝังชิปสำหรับการใช้งาน AI บนตัวเครื่องและ Copilot ที่เป็น AI ของค่าย Microsoft ก็อาศัยนวัตกรรมจาก OpenAI ในการประมวลผล

 

งานแถลงเปิดตัว Copilot+ PCs โดย Satya Nadella เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024

อ้างอิง: Microsoft

 

มาวันนี้ Microsoft ไม่ใช่ผู้เล่นรายเดียวในตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภครายเดียวที่เข้าถึงเทคโนโลยีล่าสุดของ OpenAI อีกแล้ว แต่มีผู้เล่นอย่าง Apple เข้ามาอยู่ในสมการด้วย และถึงแม้ว่ารายละเอียดการเข้าถึงเทคโนโลยี OpenAI โดย Apple ยังไม่ถูกเปิดเผย แต่แหล่งข่าวของ WSJ รายงานว่า ตอนนี้ Apple มีสิทธิ์เข้าใช้งานแบบพิเศษในนวัตกรรมของ OpenAI แล้ว

 

โดยสรุป ดีลระหว่าง Apple-OpenAI ให้ทั้งประโยชน์และสร้างข้อจำกัดในเวลาเดียวกันสำหรับ Microsoft

 

ต่อมาเราขยับมาดูที่ Google กันบ้าง

 

โฉมใหม่ Siri กับการดิสรัปต์ ‘เจ้าตลาด’ เสิร์ชเอนจิน

 

นับตั้งแต่ปี 2003 ทาง Apple ทำข้อตกลงกับ Google เอาไว้ว่าจะใช้บริการเสิร์ชเอนจินของ Google เป็นตัวเลือกแรกบน Safari (เว็บเบราว์เซอร์ที่พัฒนาโดย Apple) แลกกับการจ่ายเงินก้อนโตปีละประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก Google ให้กับ Apple เพื่อสิทธิพิเศษส่วนนี้

 

แต่หลังดีลนั้นเกิดขึ้นมา 21 ปี ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว Apple ตัดสินใจปรับโฉม Siri ใหม่ให้ฉลาดขึ้นไปอีกขั้น และสามารถรับมือกับคำถามที่ซับซ้อนขึ้นได้ สิ่งนี้ทำให้ยอดการใช้งานเบราว์เซอร์ Google กำลังตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง

 

เหตุผลเพราะ Siri กำลังจะสามารถพาผู้ใช้งาน iPhone, Mac และ iPad ไปยัง ChatGPT ได้โดยตรงแบบไม่ต้องผ่าน Google ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะยังเป็นเวอร์ชันทดลองในขั้นแรก

 

“นี่แหละคือภัยคุกคามที่จะมาดิสรัปต์ Google เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อเรายิงคำถามให้ Siri เราจะได้ผลลัพธ์ที่มาจาก Google แต่ต่อไปนี้ Siri จะถามเช็กบางคำถามที่ผู้ใช้งานส่งไปว่าจะให้มันไปเช็กข้อมูลจาก ChatGPT ไหม? และถ้าหากผู้ใช้งานตอบตกลง ยอดการใช้เว็บ Google ก็จะลดลง เมื่อการใช้งานส่วนหนึ่งหันไปพึ่ง ChatGPT แทน” Deepa Seetharaman นักข่าวของ WSJ กล่าว

 

ผู้ใช้งาน iOS 18 สามารถคุยกับ Siri และข้ามไปใช้ ChatGPT ได้โดยตรงแบบไม่ต้องผ่าน Google

อ้างอิง: Apple

 

นอกจากการนำ ChatGPT เข้ามาทำงานบน Siri แล้ว OpenAI ยังแถลงความร่วมมือกับ News Corp กลุ่มบริษัทสื่อรายใหญ่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมปีนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักข่าวแนวหน้าของโลกหลายราย อาทิ Wall Street Journal, Barron’s, The Times, MarketWatch และอื่นๆ รวมทั้งดีลกับ Financial Times หรือ Business Insider สำหรับใช้ฐานข้อมูลข่าวในการฝึก AI เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่แม่นยำมากขึ้น

 

ความน่าสนใจของการเลือกเส้นทางนี้ของ OpenAI ถูกมองโดยนักวิเคราะห์ว่าเป็นการเพิ่มอำนาจการแข่งขันผ่านการให้ตัวเลือกกับผู้ใช้งานในการค้นหาข้อมูลที่ทำได้มากกว่าแค่ช่องทางหลักอย่าง Google ซึ่งครองตลาดส่วนนี้มาเป็นเวลานาน

 

อย่างไรก็ตาม โอกาสการร่วมงานกันระหว่าง Apple และ Google ก็ยังไม่ได้หมดไป เพราะ Craig Federighi รองประธานฝ่ายพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Apple ย้ำชัดหลังงาน WWDC 2024 ว่า “เป้าหมายของเราคือการให้ทางเลือกกับผู้ใช้งาน ทางเลือกที่พวกเขาตัดสินใจเองได้ว่าต้องการใช้โมเดลอะไร และหนึ่งในตัวเลือกก็อาจจะเป็น Gemini ก็ได้ แค่ตอนนี้เรายังไม่มีอัปเดตที่จะประกาศเพิ่มเติมในส่วนนี้”

 

แน่นอนว่าการประกาศใช้นวัตกรรม OpenAI น่าจะทำให้ Google เคืองอยู่ไม่ใช่น้อย แต่มันไม่ได้หมายความว่าความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจร่วมกันของ Apple และ Google จะต้องสิ้นสุดลงเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้

 

ท่ามกลางการแข่งขันในวงการ AI ที่กำลังปรับสมดุลครั้งใหม่ การทำความเข้าใจในอีกมิติที่กว้างขึ้นของ Apple Intelligence ก็เป็นอีกหนึ่งมุมที่น่าสนใจว่า ‘AI’ ตัวใหม่นี้จะเข้ามาแก้ปัญหายอดขาย iPhone ที่ไม่ค่อยจะเติบโตอย่างที่บริษัทหวังไว้ได้อย่างไร?

 

แก้เกม iPhone กลยุทธ์ Apple ที่ (แอบ) บีบให้ต้องอัปเกรด

 

จากที่ได้เกริ่นไปในช่วงต้นว่า iPhone มีผลต่อการสร้างรายได้ให้ Apple ราว 50% แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยอดขายของสมาร์ทโฟนดังกล่าวแทบจะไม่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเลย โดยนักวิเคราะห์จาก J.P. Morgan ให้เหตุผลว่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 4 ปีก่อนที่จะอัปเกรด iPhone ครั้งใหม่ ซึ่งสมมติฐานนี้ก็สะท้อนออกมาในไตรมาสแรกของปีนี้ที่ iPhone มียอดขายดิ่งลงกว่า 10% 

 

หนึ่งในปัญหาที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าเป็นสาเหตุให้หลายคนยังไม่ตัดสินใจอัปเกรด iPhone ไม่ใช่เหตุผลในเรื่องของคุณภาพ แต่เป็น ‘เหตุผลใหม่’ ที่ยังไม่ดึงดูดใจเพียงพอให้พวกเขาต้องละทิ้งเครื่องเก่า

 

แต่ในสัปดาห์ที่แล้ว Apple Intelligence อาจเป็นเหตุผลให้ผู้ใช้งานหลายคนที่ต้องการฟีเจอร์ AI ตัวใหม่จาก Apple อย่างเช่น สรุปเนื้อหาอีเมล ปรับแต่งภาพ จัดเรียงความสำคัญของข้อความแจ้งเตือนตามบริบทชีวิตประจำงานของผู้ใช้งานด้วย AI เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม Apple ระบุชัดในจดหมายแถลงการณ์ว่า “Apple Intelligence จะสามารถให้บริการได้บน iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max และ iPad กับ Mac ที่มีชิป M1 เป็นต้นไป”

 

อ้างอิง: Apple

 

การตัดสินใจนี้ทำให้นักวิจารณ์ออกมาแสดงความเห็นว่า Apple ‘กั๊ก’ ที่ไม่ยอมทำให้โมเดลสมาร์ทโฟนรุ่นต่ำกว่า iPhone 15 Pro ใช้งานฟีเจอร์ Apple Intelligence ได้

 

หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วย ‘เงิน’ เพื่อผลักดันให้เกิดการอัปเกรดครั้งใหญ่โดยผู้ใช้งาน ซึ่งถ้าใครที่ต้องการเข้าถึง AI ของ Apple แต่มี iPhone 15 ที่เพิ่งออกมาเมื่อปีที่แล้ว ก็อาจจะต้องชั่งน้ำหนักว่าการอัปเกรดให้ตนเข้าถึง Apple Intelligence จะคุ้มค่าหรือไม่?

 

นอกจากนี้ Mark Gurman ผู้ที่เข้าถึงอินไซต์บริษัท Apple ได้ดีที่สุดจากสำนักข่าว Bloomberg ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Apple Intelligence อาจจะไม่ได้เข้ามากระตุ้นการอัปเกรดอย่างมีนัยสำคัญ อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ในปีนี้ เนื่องจากฟีเจอร์และซอฟต์แวร์บางอย่าง เช่น Siri กับความสามารถในการค้นหาและสั่งงานแอปต่างๆ บนสมาร์ทโฟนจะยังไม่มาจนกว่าจะปี 2025 แถมเวอร์ชันทดลองที่จะปล่อยออกมาในขั้นแรกก็รองรับแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น

 

ความล่าช้านี้น่าจะไม่ใช่ข้อท้าทายสำหรับ Apple เลยหากบริษัทเป็นผู้นำในสมาร์ทโฟนที่มี AI แต่ความจริงแล้วคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Samsung กลับมีฟีเจอร์สั่งงาน AI บนสมาร์ทโฟนของตัวเองแล้วผ่าน Bixby ที่เป็นคู่แข่งกับ Siri

 

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ Mark มองว่า Apple Intelligence ยังไม่น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะเข้ามากอบกู้ยอดขาย iPhone ให้กลับมาเติบโตในปีนี้แบบก้าวกระโดดตามที่นักลงทุนบางกลุ่มคาดหวังเอาไว้ เพราะเมื่อฟีเจอร์ยังไม่ครบและต้องรอถึงปีหน้า การจะทำให้ผู้ใช้งานอัปเกรด iPhone ในปีนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

 

แต่อย่างน้อย Apple Intelligence น่าจะทำให้คนกลุ่มที่บ่นว่า “เมื่อไร Apple จะมี AI ให้เห็นสักที?” ยอมอดทนรอไปอีกนิดและไม่หันไปซบไหล่คู่แข่งอย่าง Samsung ที่มี Galaxy AI มาระยะหนึ่งแล้ว

 

ภาพ: Thilina Kaluthotage / NurPhoto via Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising