โลกร้อนทำให้ต้องจ่ายเงินมากขึ้น! เมื่อไตรมาสแรกราคา เมล็ดกาแฟ ในตลาดเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดในโลกทะยานขึ้นไปอีก 20% รวมถึงราคายาง ผู้ประกอบการเตรียมรับมือกับต้นทุนที่กำลังจะสูงขึ้นอีก
Nikkei Asia รายงานว่า ในไตรมาสที่ผ่านมาราคากาแฟโรบัสต้าและกาแฟอาราบิก้าในตลาดเวียดนามเพิ่มขึ้นอีก 20% เรียกว่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในทวีปเอเชีย ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศเวียดนามเป็นผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้ารายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา สภาพอากาศแปรปรวนทั้งภัยแล้งและโลกร้อนจนอุณหภูมิเฉลี่ยในเวียดนามสูงถึง 48 องศาเซลเซียส
แน่นอนว่ากระทบพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตไม่เป็นไปตามฤดูกาล ทำให้เกษตรกรขายเมล็ดกาแฟในราคาที่สูงขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจร้านกาแฟอย่างมีนัยสำคัญ
มาซาโนบุ ทาคาโนะ ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจกาแฟของญี่ปุ่น กล่าวว่า เวียดนามมีสัดส่วนส่งออกกาแฟโรบัสต้ากว่า 40% แต่เมื่อผลผลิตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ราคาจึงสูงขึ้น ธุรกิจร้านกาแฟได้รับผลกระทบดังกล่าวมากว่า 2 ปีแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- กาแฟแพงขึ้นอีกจากปรากฏการณ์เอลนีโญ กระทบผลผลิตเมล็ดกาแฟในเวียดนาม ด้านชาวสวนเริ่มหันไปปลูกทุเรียนแทน
- กาแฟก็แพง! ล่าสุดราคาตลาดโลกพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่รอบ 10 ปี ขณะที่ผู้จัดการกองทุนลุยซื้อต่อเนื่อง
- Starbucks กับความท้าทายในตลาดจีน: ศึกชิงความเป็นเจ้ากาแฟในวันที่ลูกค้าอเมริกาไม่อุดหนุนแล้ว?
จริงๆ แล้วไม่ได้มีแค่กาแฟเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน แต่เริ่มกระทบพื้นที่ปลูกยางธรรมชาติในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นผู้ส่งออกน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ในตลาด
เมื่อการส่งออกน้ำยางธรรมชาติลดลง ผลกระทบที่ตามมาคือ ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม อัตราการผลิตยางชะลอตัวลง ประเมินว่าราคายางเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปจะมีราคาสูงขึ้นถึง 10%
อย่างไรก็ตาม อากาศที่ร้อนขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบในแถบเอเชียเท่านั้น แต่ในโซนยุโรป อ้างอิงตามรายงานของอเมริกาแสดงให้เห็นว่า ในเดือนพฤษภาคมผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับอากาศร้อนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยปีนี้ทั้งปีคาดว่าจะร้อนขึ้นไปอีก จากนั้นทุกคนก็จะหันไปพึ่งพาเครื่องปรับอากาศ ค่าไฟก็จะเพิ่มขึ้น สรุปได้ว่าโลกร้อนทำให้เรามีค่าใช้จ่ายมากขึ้นนั้นเอง
ภาพ: DG FotoStock / Shutterstock
อ้างอิง: