อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมต้องการความเปลี่ยนแปลง ขณะที่คนอีกกลุ่มต้องการจะอนุรักษ์ทุกอย่างไว้ให้คงอยู่เหมือนเดิม
คำอธิบายที่ง่ายที่สุดก็คือ คนที่พอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ย่อมไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ส่วนคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงก็มักไม่พอใจในสิ่งที่เขามีอยู่
แต่ด้วยความเหลื่อมล้ำที่มีค่อนข้างเยอะในสังคมของเรา คนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ส่วนใหญ่มักจะมีหลายอย่างในชีวิต (ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง โอกาส หรือแม้แต่โชคชะตา) มากกว่าคนที่ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
เพราะฉะนั้นคนที่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่จึงไม่ควรที่จะไปบอกให้คนที่ไม่มีเท่าตัวเองพอใจในสิ่งที่เขามี ยกเว้นว่าคนที่เชื่อว่าทุกสิ่งในชีวิตที่เขามี ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง บ้าน หน้าที่การงาน การศึกษา ความสามารถต่างๆ นานา หรือแม้แต่ยีนดีๆ เป็นสิ่งที่คู่ควรกับการได้มันมาทั้งนั้น (พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราอาศัยอยู่ในโลกที่เราได้ทุกอย่างมาจากความสามารถ ความขยันหมั่นเพียร ขณะที่โชคชะตาหรือกรรมเก่าไม่ได้มีบทบาททำให้เรามีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี)
แล้วเราจะแก้การไม่เข้าใจความต้องการของกันและกันได้อย่างไร ถ้าคนเราแต่ละคนเกิดมาไม่เท่ากัน
คุณผู้อ่านรู้จัก veil of ignorance หรือม่านแห่งความไม่รู้ของนักปรัชญาที่มีชื่อว่า John Rawls ไหมครับ
ม่านแห่งความไม่รู้เป็นการทดลองทางด้านความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งการทดลองทางด้านความคิดนี้อาศัยการให้คุณลองสมมติกับตัวเองว่า ถ้าเรามีทางเลือกอยู่สองทางเลือก เป็นโลกสองโลก โลกหนึ่งคือโลกที่คนรวยที่สุด 1% กุมเงินของคนทั้งประเทศไว้ 25% ส่วนคนที่จนที่สุด 25% กุมเงินของคนทั้งประเทศไว้เพียง 1%
ส่วนอีกโลกหนึ่งทุกคนมีเงินทองเท่ากันหมด พูดง่ายๆ ก็คือในโลกใบที่สองนี้ไม่มีความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ระหว่างคนในสังคมเลย
เเต่ด้วยความที่คุณอยู่ด้านหลังของ ‘ม่านแห่งความไม่รู้’ หมายความว่าคุณไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ถ้าคุณเลือกที่จะไปอยู่ในโลกใบแรก คุณจะได้เกิดไปเป็นคนที่รวยที่สุด 1% หรือคนที่จนที่สุด 25% (หรืออาจจะออกมาเป็น Middle Income หรือชนชั้นกลาง)
ดังนั้น ถ้าคุณเลือกโลกใบแรกล่ะก็ คุณไม่มีทางที่จะรู้ก่อนได้เลยว่าคุณจะได้เกิดเป็นคนที่รวยล้นฟ้าหรือคนที่จนติดดิน
เป็นคุณ คุณจะเลือกที่จะไปเกิดในโลกใบไหนครับ
แล้วถ้าตัวคุณในขณะนี้เป็นหนึ่งคนที่ไม่อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมของเราเพียงเพราะคุณเป็นคนหนึ่งที่พอใจในสิ่งที่คุณมี (ซึ่งสิ่งที่คุณมี คุณมีเยอะกว่าคนอื่นในสังคมหลายเท่าตัวนัก) คุณว่าคุณยังจะยังเลือกไปเกิดในโลกที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ซึ่งคล้ายๆ กันกับสังคมไทยที่คุณกำลังอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ไหม ถ้ามันมีโอกาสที่ค่อนข้างสูงที่คุณจะไปเกิดเป็นคนจนติดดินในโลกใบนั้น
ด้วยเหตุนี้นี่เอง การใช้ม่านแห่งความไม่รู้เป็นเครื่องมือในการทดลองทางด้านความคิดของเรา จะสามารถช่วยทำให้เรามองเห็นโลกของเราที่เป็นอยู่ผ่านสายตาของคนอีกกลุ่มหนึ่งได้นะครับ ซึ่งม่านแห่งความไม่รู้นี้สามารถช่วยทำให้คุณเอาใจเขามาใส่ใจเราได้
ปัญหาก็คือมันขึ้นอยู่แค่ว่าคุณจะยอมมองอย่างนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ภาพประกอบ: Chatchai C.
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า