×

สภาผู้แทนสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายแบน TikTok กระทบชาวอเมริกันอย่างไร จะเกิดอะไรต่อ?

15.03.2024
  • LOADING...

การผ่านร่างกฎหมายแบน TikTok ในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดให้ ByteDance บริษัทแม่ในจีน ต้องขายหุ้น TikTok ที่ถือครองอยู่ให้แก่บริษัทสัญชาติอเมริกันภายใน 6 เดือน โดยหากไม่ดำเนินการจะถูกแบนออกจาก App Store ในสหรัฐฯ กลายเป็นประเด็นร้อนที่น่าจับตามอง ท่ามกลางการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคที่ดุเดือด ซึ่ง TikTok ถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมที่มี TikTokker หรือผู้ใช้งาน TikTok ชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคน

 

ปัจจัยที่ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการรับรองคือความกลัวว่าข้อมูลของผู้ใช้งานชาวอเมริกันอาจถูกส่งไปถึงมือรัฐบาลจีน และก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ แม้ว่าที่ผ่านมา โจวโซ่วจือ ซีอีโอชาวสิงคโปร์ของ TikTok จะเคยยืนยันต่อสภาคองเกรสว่าไม่เคยมีการส่งข้อมูลใดให้กับรัฐบาลจีนอย่างแน่นอน

 

แต่ถึงกระนั้นความไม่มั่นใจของบรรดา สส. และผู้นำสหรัฐฯ ที่มีต่อแอปพลิเคชันสัญชาติจีนก็ยังอยู่ในระดับสูง และมากพอที่จะผลักดันให้กฎหมายแบน TikTok ฉบับนี้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งผลกระทบที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ByteDance จะยอมขาย TikTok หรือไม่ และเหล่า TikTokker ชาวอเมริกันจะเดือดเนื้อร้อนใจแค่ไหน หากไม่มีแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้นนี้ให้ใช้งาน

 

จะเกิดอะไรต่อหลังจากนี้?

 

หลังจากนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้จะถูกส่งต่อให้วุฒิสภาเพื่อโหวตรับรอง ก่อนที่จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่ากระบวนการโหวตในวุฒิสภาจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว โดยวุฒิสมาชิกหลายคนเชื่อว่ากระบวนการในชั้นวุฒิสภาจะค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับสภาผู้แทนราษฎรที่เปิดลงมติ หลังจากที่ร่างกฎหมายผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพลังงานและการพาณิชย์ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เพียง 8 วัน

 

“มันยากสำหรับผมที่จะจินตนาการว่ามันจะเกิดขึ้นได้เร็ว เราไม่ได้ทำสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว เราถูกออกแบบมาไม่ให้ทำสิ่งต่างๆ เร็วเกินไป ดังนั้นผมคิดว่าหลายเดือน” เควิน เครเมอร์ (Kevin Cramer) วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐนอร์ทดาโคตา กล่าว

 

ทั้งนี้ การโหวตในสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สส. ทั้งของพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ตลอดจนท่าทีของทำเนียบขาวที่ต้องการให้กระบวนการเดินหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นอีกแรงกดดันให้วุฒิสภาต้องเร่งดำเนินการ

 

มาร์ค วอร์เนอร์ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐเวอร์จิเนีย เผยวานนี้ (14 มีนาคม) ว่าได้เริ่มพูดคุยเรื่องการโหวตรับรองกฎหมายฉบับนี้กับ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาจากพรรคเดโมแครต ซึ่งรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการข่าวกรองของวุฒิสภาแล้ว และยังได้ ‘พูดคุยเบื้องต้น’ กับ มาเรีย แคนต์เวลล์ (Maria Cantwell) วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐวอชิงตัน และประธานคณะกรรมการพาณิชย์ของวุฒิสภาซึ่งมีหน้าที่รับรองมาตรการแบน TikTok แล้วเช่นกัน

 

โดยแคนต์เวลล์นั้นไม่สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ และชี้ว่ามันอาจไม่ผ่านการตรวจสอบทางกฎหมายที่เข้มงวด

 

“ฉันจะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพยายามหาหนทางตามรัฐธรรมนูญและปกป้องเสรีภาพของพลเมือง” เธอกล่าว

 

ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งคือร่างกฎหมายฉบับนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใช้ TikTok ซึ่งหลายคนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นเยาว์ที่อาจมีอิทธิพลสำคัญต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นปลายปีนี้

 

โดยวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ทราบเรื่องนี้ดี ขณะที่ผู้ใช้ TikTok บางรายโพสต์คลิปวิดีโอก่อนการโหวตในสภาผู้แทนราษฎร ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาโทรหา สส. ในรัฐของตน และขู่ว่าหากยกมือโหวตผ่านร่างกฎหมาย พวกเขาจะลงคะแนนให้กับผู้สมัคร สส. รายอื่น 

 

นักวิจารณ์หลายรายมองว่าการแบน TikTok อันเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ชาวอเมริกันจำนวนมากใช้แสดงออก สื่อสาร และรับข้อมูล ถือเป็นการละเมิดเสรีภาพของประชาชน ตามบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่ 1 (The First Amendment) 

 

ขณะที่วุฒิสมาชิกบางคนมองว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องมีการแก้ไขเนื้อหาบางอย่าง ซึ่งการแก้ไขนั้นจำเป็นต้องผ่านการโหวตรับรองจากสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ก่อนจะส่งกลับไปยังวุฒิสภา

 

ด้านโฆษกของ TikTok ออกแถลงการณ์หลังการโหวตของสภาผู้แทนราษฎร และแสดงความคาดหวังว่าวุฒิสภาจะพิจารณาข้อเท็จจริงและรับฟังข้อมูลต่างๆ ตลอดจนตระหนักถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดกับธุรกิจขนาดเล็กกว่า 7 ล้านราย และผู้ใช้งานชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคน

 

จะเกิดอะไรขึ้นหากบังคับใช้กฎหมาย

 

หากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการโหวตรับรองในวุฒิสภาและกลายเป็นกฎหมาย จะส่งผลให้การเผยแพร่แอปที่พัฒนาโดย ByteDance บริษัทในเครือ ตลอดจนบริษัทอื่นๆ ที่ชัดเจนว่าถูกควบคุมโดยประเทศที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นคู่ปรับหรือคู่แข่งขัน (Adversary) ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ยกเว้นว่าบริษัทจะขายกิจการหรือแยกตัวจากแอปนั้นภายในระยะเวลา 180 วัน หากไม่ดำเนินการจะต้องถูกถอดแอปออกจาก App Store ในสหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งของ Apple และ Google โดยหากฝ่าฝืน ผู้ให้บริการ App Store อาจเผชิญโทษปรับเป็นจำนวนสูงถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อจำนวนผู้ใช้งานแอป TikTok 1 คน หมายความว่าทั้ง Apple และ Google อาจถูกปรับเงินสูงสุดถึงบริษัทละ 8.5 แสนล้านดอลลาร์

 

แต่การขาย TikTok ซึ่งตอนนี้ถูกประเมินว่ามีมูลค่าในตลาดสูงถึง 2.68 แสนล้านดอลลาร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยมีบริษัทหรือนักลงทุนเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่จะสามารถซื้อได้ และการทำข้อตกลงซื้อขายกับบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ต่างๆ ก็อาจเผชิญอุปสรรคจากกฎหมายต่อต้านการผูกขาด อีกทั้งการขาย TikTok จะต้องได้รับอนุญาตจากจีน ซึ่งรัฐบาลจีนแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการบีบบังคับของสหรัฐฯ เพื่อให้ขายกิจการ

 

อย่างไรก็ดี สตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุครัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่ากำลังรวบรวมทีมนักลงทุนเพื่อดำเนินการซื้อ TikTok โดยมองว่าเป็นธุรกิจที่ยอดเยี่ยม 

 

นอกจากนี้ก็ยังมีนักธุรกิจคนอื่นๆ อีก เช่น เควิน โอเลียรี นักธุรกิจชาวแคนาดาจากรายการทีวี Shark Tank ที่แสดงความสนใจจะซื้อ TikTok จากบริษัทแม่ในจีนเช่นกัน

 

สำหรับกำหนดเวลาในการขายกิจการไม่เกิน 180 วัน หรือ 6 เดือนนั้นอาจขยายออกไปได้อีกในการต่อสู้ทางกฎหมายในชั้นศาล โดยซีอีโอของ TikTok ยืนยันว่าบริษัทจะต่อสู้ตามกฎหมาย

 

“เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอะไรก็ตามที่ร่างกฎหมายคิดว่าทำได้ภายในขอบเขตที่กำหนดไว้ในร่างกฎหมาย นี่มันจะนำไปสู่การแบนแอปในประเทศ” โจวกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลในรัฐมอนแทนาก็เคยมีคำสั่งระงับกฎหมายที่คล้ายกันนี้มาแล้ว หลังจากที่ TikTok โต้แย้งว่าละเมิดบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่ 1

 

ทางเลือกอื่นของชาว TikTokker

 

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ หาก TikTok ถูกแบนจนใช้งานในสหรัฐฯ ไม่ได้จริงๆ บรรดา TikTokker ชาวอเมริกันจะอพยพไปยังแพลตฟอร์มไหน

 

โดยนอกจาก TikTok ตอนนี้ทั้ง Meta (Facebook, Instagram), YouTube, Snapchat และ X ต่างก็มีฟีเจอร์คลิปวิดีโอสั้นแบบเลื่อนดูในแบบเดียวกับ TikTok แม้ว่า TikTokker หลายคนจะบอกว่าคู่แข่งเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจอัลกอริทึมการแนะนำที่ทำให้ TikTok มีเสน่ห์และน่าใช้งานมากกว่า

 

ผู้ใช้ TikTok หลายคนแสดงความเห็นว่า การทำให้ผู้ใช้ TikTok จำนวนมากเปลี่ยนไปใช้ฟีเจอร์คลิปวิดีโอสั้นในแพลตฟอร์มอื่นนั้นเป็นเรื่องยาก 

 

หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือรูปแบบการสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน ซึ่งการบังคับให้พวกเขาย้ายแพลตฟอร์มอาจหมายถึงความท้าทายหรือความยากลำบากสำหรับบรรดาครีเอเตอร์ที่กำลังสร้างธุรกิจของตัวเองโดยพึ่งพา TikTok เป็นหลัก

 

หนึ่งในครีเอเตอร์และเจ้าของธุรกิจที่พึ่งพา TikTok เผยว่าฟีเจอร์ For You ของ TikTok นั้นช่วยให้แบรนด์ต่างๆ เข้าถึงผู้ชมใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้นมากเมื่อเทียบกับแอปอื่นๆ

 

ขณะที่ผู้ใช้งานบางคนก็เริ่มเตรียมพร้อมรับมือกรณีเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดกับ TikTok เช่น การไปติดตามครีเอเตอร์ที่ชื่นชอบในแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งครีเอเตอร์บางคนก็ถึงกับโพสต์คลิปวิดีโอประกาศอำลา TikTok ล่วงหน้าหากแอปถูกแบน

 

ภาพ: Anna Moneymaker / Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising