×

อย่าไปว่าเขา…ถ้าไทยเรายังไม่ใช่นักท่องเที่ยวคุณภาพมากพอ

18.05.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • ไม่ใช่แค่ชาวจีนและอินเดียเท่านั้นที่สร้างปัญหาให้แก่แหล่งท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวไทยก็เป็นหนึ่งในใต้หล้าเช่นกัน
  • เรื่องแปลกแต่จริงสำหรับนักท่องเที่ยวไทยคือ ‘เมื่อรวมหมู่เราโวยวาย เมื่อแยกทางเราสงบเสงี่ยม’ อยู่ร่วมกันทีไรความเกรงใจต่อสังคมจะกลายเป็นศูนย์
  • หากคุณอยากเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ก็จงศึกษากฎข้อบังคับต่างๆ และอย่าฝ่าฝืน กฎพวกนี้มีไว้เพื่อความปลอดภัยและความสงบ ปฏิบัติตามเถิดยังไงก็วิน-วินทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว

เรามักได้ยินเสียงบ่นจากคนรอบข้าง จากสื่อ หรือช่องทางโซเชียลอยู่เสมอเกี่ยวกับปัญหาสารพัดอย่างที่เกิดขึ้นจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในประเทศไทย บ้างมืออยู่ไม่สุขขีดเขียนชื่อตามที่ต่างๆ บ้าง ทิ้งขยะไม่ลงถัง ไม่รักษาความสะอาด และหลากกิริยามารยาทชวนปวดเศียรจนต้องหยิบยาดมมาจรดจมูกแทบไม่ทัน ในบรรดาชาติทั้งหมด ดูเหมือนนักท่องเที่ยวจีนจะถูกกาหัวจากหลายประเทศว่าเป็นนักท่องเที่ยวไร้คุณภาพ มีข่าวออกสื่อทุกวันเกี่ยวกับวีรกรรมอันแสนน่าจดจำ รองลงมาก็เป็นชาวอินเดียแดนภารตะที่พีกมากในหมู่คนทำโรงแรม แต่ในยุคที่ระบบทุนนิยมเฟื่องฟู อำนาจของเงินช่างหอมหวาน ผู้ประกอบการและเจ้าบ้านต่างๆ ก็ได้แต่ยอมรับอย่างจำยอม และคอยหาวิธีปรับแก้กันไป…ก็เรายังต้องเอาเงินใช้จ่ายนี่เนอะ

 

ไม่ใช่แค่ชาวจีนและอินเดียเท่านั้นที่สร้างปัญหาให้แก่แหล่งท่องเที่ยว ชาวเกาหลี ชาว AEC และชาวยุโรปบางชาติก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน แต่จากที่นักเขียนประสบมากับตัวในหลายประเทศ ดิฉันอยากจะตะโกนก้องฟ้าให้เหมือน กบ สุวนันท์ ในเรื่อง เหินฟ้า เลยว่า อย่าไปว่าเขาเลยค่ะ เพราะนักท่องเที่ยวไทยก็เป็นหนึ่งในใต้หล้าเช่นกัน

 

เอ่ยมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะขัดขืนในใจว่า “ไม่นะ ฉันออกจะดี เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ” คุณแน่ใจแล้วหรือว่าไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนี้

 

 

ไม่ต้องเสียงดังก็สนุกได้

ความพีกแรกของคนไทยคือ ‘เสียงดังฟังชัด’ ชัดมาก ชัดแบบโหวกเหวกโวยวายได้ยินล่วงหน้าไปอีกหลายบล็อกถนน โนสน โนแคร์ใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังมั่นใจด้วยนะว่าตัวเองประพฤติปฏิบัติถูกแล้ว เรื่องแปลกแต่จริงสำหรับนักท่องเที่ยวไทยคือ ‘เมื่อรวมหมู่เราโวยวาย เมื่อแยกทางเราสงบเสงี่ยม’ ไม่ต้องไปหาตัวอย่างไกลจากไหน เอาแค่เพื่อนร่วมอาชีพก็มีให้เห็นจนชินตา นักข่าวหลายคนเวลาเดินทางไปทำงานต่างประเทศในทริปที่รวมสื่อไว้หลายสำนัก บรรยากาศก็จะคล้ายทัวร์จีนหน่อยๆ เอะอะมะเทิ่ง สรวลเสเฮฮาไปตามระเบียบ ขนาดต่อคิวอยู่ก็ตะโกนข้ามหัวคุยกันดื้อๆ นึกภาพแถวซื้อตั๋วที่มีคณะนักท่องเที่ยวชาวไทยยืนต่อกันเยอะๆ และมีพื้นที่เล็กๆ ให้คนเจ้าของบ้านคั่นกลาง แน่นอนว่าเราก็ตะโกนคุยกันโดยไม่สนมารยาทใดๆ ว่าจะสร้างความรำคาญให้คนอื่นอย่างไรบ้าง ก็แล้วไงล่ะ…พวกฉันเยอะ (ยักไหล่หนึ่งที) ในทางกลับกันลองจับคนไทยที่มาเป็นหมู่คณะแยกกัน ความกร่าง ความมั่นใจเหลือประมาณเมื่อสักครู่ก็จะหายในบัดดล พวกเขาจะเงียบ เรียบร้อย รู้จักมารยาทขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทฤษฎีนี้มิใช่แค่สื่อ แต่พบเห็นได้ในทุกนักท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ ประเด็นคือไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวเท่านั้นนะที่เป็น แม้แต่ไกด์ก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย แทนที่จะช่วยห้ามกัน สนับสนุนกันเสียอย่างนั้น

 

เอ่ยมาถึงตรงนี้ ดิฉันไม่ห้ามคุณบันเทิงหรือสรวลเสเฮฮาระหว่างทริปพักผ่อน แต่อยากให้คำนึงถึงมารยาทในที่สาธารณะเอาไว้บ้าง เราไม่ได้อยู่ในโลกเพียงกลุ่มเดียว ยิ่งเป็นชนชาติที่คิดถึงส่วนรวมอย่างญี่ปุ่นยิ่งต้องระวังใหญ่ มีคนญี่ปุ่นหลายคนบ่นเรื่องนี้กับดิฉันเยอะมากว่าคนไทยชอบเสียงดังในรถไฟ อย่าว่าแต่คนชาติอื่นเลย คนไทยด้วยกันเวลาเจอกันนอกประเทศ หลายคนพยายามหลบหลีกเลี่ยงแยกออกมา เพราะกลัวจะถูกเหมารวมไปด้วย คุยสนุกเสียงดังได้ในที่ที่ควร ดูบริบทรอบข้างด้วย เขาจะได้ไม่ด่าพ่อว่าแม่เราเหมือนที่เราเคยบ่นคนจีน

 

 

กฎมีไว้ปฎิบัติมิใช่มีไว้แหก

เราชอบด่าทัวร์จีนว่าเขาไม่ค่อยเคารพกฎ ไม่ว่าจะเรื่องการทิ้งขยะ การปีนป่ายข้ามรั้วเข้าไปในเขตหวงห้าม หรือหยิบจับทำลายทรัพย์สินทางธรรมชาติและวัฒนธรรม แต่ขอโทษเถอะค่ะ พี่ไทยเราในเรื่องนี้ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เมื่อ 2 ปีก่อนฉันเคยเดินทางไปทำคอลัมน์ท่องเที่ยวที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จุดหมายปลายทางในฝันของคนไทยมากกว่าครึ่งประเทศ ทุกอย่างก็สวยงามถูกต้องตามทำนองคลองธรรมที่ควรเป็น ยกเว้นเสียแต่ว่าดิฉันไปเจอคนไทยคู่หนึ่งบนยอดเขาจุงเฟรา คาดว่าทั้งคู่เป็นสามี-ภรรยากัน ดูเป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ แต่ขอบอกว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าอับอายมาก คุณภรรยาปีนข้ามเชือกกั้นออกไปนั่งบนก้อนหินริมผา ซึ่งอยู่สูงจากพื้นเป็นพันเมตร ท่ามกลางหิมะกองหนาที่พร้อมจะทลายได้ทุกเมื่อ จุดประสงค์เพื่อโพสท่าสวยๆ ให้คุณสามีถ่ายรูปอัพลงโซเชียล แม่คุณ…นี่มันไม่ต้องถูกต้องอย่างที่สุด! เจ้าหน้าที่กั้นเชือกไม่ให้ออกเพราะกลัวอันตราย แต่เพราะอยากได้ภาพสวยอวดชีวิตดีลงโซเชียล ถึงขนาดฝ่าฝืนกฎ เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำอย่างไร! เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งยืนอยู่ข้างกันถึงขนาดหันมาพูดกับดิฉันว่า “นี่มันคนชาติคุณใช่ไหม แบบนี้ไม่ดีเลยนะ” ตึ่ง! ความรู้สึกในตอนนั้นคือแย่มาก ช่วยเอาดิฉันไปเก็บที

 

 

ไม่ใช่แค่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ข่าวเรื่องการฝืนกฎของคนไทยมีให้เห็นหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นกรณีลักขโมยภาพจากโรงแรมในญี่ปุ่นเพราะอยากได้ แล้วอ้างว่า ‘ติดมา’ หยิบขนมมากินก่อนจ่ายเงิน หรือขับรถผิดกฎจราจรจนก่อให้เกิดเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต กรณีหลังในต่างประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ฉะนั้นหากคุณอยากเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ จงศึกษากฎข้อบังคับต่างๆ และอย่าฝ่าฝืน เราไม่ได้หมายความว่าคุณต้องรู้กฎหมายทุกข้อของสถานที่ที่ควรจะไป แต่ควรศึกษาข้อพึงปฏิบัติของสถานที่ต่างๆ และกระทำตามอย่างเคร่งครัด เช่น ถ้าเขาไม่อนุญาตให้จับภาพงานศิลปะก็อย่าเอามือไปจับ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพก็อย่าดื้อรั้น ห้ามว่ายน้ำทะเลในช่วงธงแดงก็อย่าคิดว่าตัวเองแน่ว่ายน้ำแข็งแล้วลงเล่นได้ กฎพวกนี้มีไว้เพื่อความปลอดภัยและความสงบ ปฏิบัติตามเถิดยังไงก็วิน-วินทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว

 

เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม

ทุกประเทศไม่ว่าที่ไหนในโลกล้วนมีธรรมเนียมการใช้ชีวิตบางอย่างที่ไม่มีระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ทุกคนรู้และให้ความร่วมมือปฏิบัติตาม ซึ่งข้อมูลพวกนี้รับรู้ได้จากการสังเกตและมองคนรอบตัวสักนิดว่าเขาปฏิบัติอย่างไรกัน ดิฉันขอเรียกการปฏิบัติพวกนี้ว่า ‘กฎสังคม’ ยกตัวอย่างเช่น การยืนบนบันไดเลื่อนของคนญี่ปุ่นที่ต้องชิดซ้ายถ้าอยู่โตเกียว และชิดขวาหากอยู่โอซาก้า ส่วนอีกเลนปล่อยวางให้ผู้เร่งรีบเดินผ่านได้สะดวก การกินเสร็จแล้วเก็บทิ้งเองในร้านฟาสต์ฟู้ดโซนยุโรป คนไทยเป็นชาติที่กฎสังคมต่ำ เราพยายามตั้งกฎสังคมขึ้นมาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายก็ล้มเหลวด้วยคำว่า ‘หยวนๆ นะ’ หรือหงายการ์ด ‘ไม่รู้’ เวลาไม่ปฏิบัติตาม และท้ายที่สุด เราก็เลือกแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแทนต้นเหตุที่มันยากยิ่งนัก เช่น ในเมื่อกินเสร็จแล้วไม่เก็บทิ้งก็จ้างพนักงานมาเก็บซะ รถเข็นในซูเปอร์มาเก็ตใช้เสร็จตรงไหนก็ทิ้งไว้ตรงนั้น เดี๋ยวพนักงานเดินมาเก็บเอง บางรายใช้ซะคุ้มเข็นไปถึงบ้านเลยก็มี (กลายเป็นของส่วนตัวไปอีก)

 

 

ความมักง่ายที่เราคุ้นชินกลายเป็นปัญหาในการอยู่ร่วมกันกับชนชาติอื่น โดยเฉพาะเวลาเดินทาง ประเด็นนี้เห็นชัดมากเมื่อคุณพบเจอนักท่องเที่ยวไทยในญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เดินทางไปแดนอาทิตย์อุทัย ดิฉันมักเห็นคนไทยยืนเด๋อด๋าแช่ผิดฝั่งบนบันไดเลื่อนจนโดนคนญี่ปุ่นสบถด่า (เพราะบ้านเราจะยืนตรงไหนก็ได้) เห็นเจ้าหน้าที่แสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายจากการเก็บรถเข็นหลังไฟลต์คนไทยในสนามบิน (ชาติอื่นเขาใช้แล้วเก็บ ส่วนเราสะดวกตรงไหนก็ทิ้งไว้ตรงนั้น)  

 

สุภาษิตที่ว่า ‘เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม’ ยังใช้ได้เสมอ แค่เราหัดสังเกตคนรอบข้างสักนิดว่าเขาปฏิบัติตัวเช่นไรกัน แล้วปฏิบัติตามข้อตกลงของสังคมเขา แค่นี้คุณก็กลายเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน ไม่เป็นภาระของสังคม

 

 

โลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณ เพราะคุณไม่ใช่ดวงอาทิตย์

ความกร่างนี้ท่านได้แต่ใดมา…จะว่าดิฉันโรคจิตก็ได้ที่บางครั้งรู้สึกแอบสะใจมาก เวลาเจอคนไทยบ้าอำนาจทั้งหลายถูกตอกกลับหรือต้องการอภิสิทธิ์ชนแล้วไม่มีคนพะเน้าพะนอ จริงอยู่ในเมืองไทยคุณเป็น Someone ที่มีคนดูแลประเคนความสะดวกสบายตั้งแต่ลืมตาตื่น แต่พอไปต่างประเทศคุณกลับกลายเป็น No one ที่ไม่มีคนรู้จัก การ์ดกร่างทั้งหลายแหล่ที่เคยใช้ได้ก็หมดฤทธิ์เดชขึ้นมาดื้อๆ บางคนก็ปรับตัวตามสถานการณ์ แต่บางคนยังคงพยายามงัดสารพัดฤกธิ์เดชออกมาใช้ให้จงได้ ฉันเป็น… ตำแหน่ง…นี้นะ ต้องได้อภิสิทธิ์สิ ทำไมไม่ดูแลฉันเลย

 

จริงๆ ไม่ใช่แค่พวกตำแหน่งใหญ่โตหรือบุคคลร่ำรวยเท่านั้นหรอกที่พยายามมีอภิสิทธิ์ชนเหนือคนอื่น แต่นักท่องเที่ยวธรรมดาอย่างเราๆ บางคนก็เป็นไปกับเขาด้วย ฉันเป็นลูกค้าคุณนะ คุณต้องดูแลฉันสิ ตัวอย่างกรณีนี้ง่ายๆ ที่เห็นกันดาษดื่นคือเคสผู้โดยสารต่อว่าแอร์โฮสเตสหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินว่าไม่ยอมยกกระเป๋าเก็บในช่องเก็บของให้ โพสต์ลงโซเชียลอย่างมั่นใจ สุดท้ายก็ถูกกระแสสังคมสวนกลับ เดี๋ยวนะ ขอโทษทีเถอะค่ะ มันไม่ใช่หน้าที่ของเขา เราเอาไปได้ แบกไปได้ ก็ต้องดูแลเองได้สิค่ะ นอกจากการ์ดกร่าง บางคนก็ใช้การ์ดหยวนๆ ใช้ความมีอายุเป็นข้ออ้างในการทำหลายสิ่งอย่าง เช่น ขอป้าลัดคิวหน่อยนะ พอดีแก่แล้วยืนหรือเดินไม่ค่อยไหว แต่พอช้อปปิ้งหรือมีของฟรีแจกเท่านั้นแหละ ขาป้าดีขึ้นมาทันที

 

 

จริงๆ พฤติกรรมแบบนี้ไม่ว่าจะทำในประเทศหรือนอกประเทศก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ อย่าลืมว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณเพียงคนเดียว จะเอาตรรกะหรือกฎเกณฑ์ส่วนตัวมาใช้กับกฎหมู่ไม่ได้ ที่เมืองไทยทุกคนอาจปล่อยเลยและมองผ่าน แต่ในต่างประเทศนั้นตรงกันข้าม ไม่ว่าจะลูกเด็กเล็กแดงหรือแก่เกินแกงขนาดไหน ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน นอกเสียจากว่าคุณจะเป็นประธานาธิบดี หรือบุคคลสำคัญระดับประเทศของเขาสิถึงได้รับการปรนนิบัติที่แตกต่าง

 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างในหลายพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวไทยที่มักประพฤติตัวในต่างแดน หลายคนบ่นยับ เอะอะก็ด่าคนจีนอย่างนู้นอย่างนี้ หนักถึงขั้นออกนอกประเทศทำตัวไม่ดีก็แอบอ้างเป็นคนจีนเสียอีก ยิ่งคนยุโรปเขาแยกไม่ออกหรอกว่าเราเป็นเอเชียชาติไหน เราด่าแต่คนจีน เอ่ยปากว่าชนชาติอื่นที่สร้างความเดือดร้อนภายในประเทศ แต่ไม่เคยหันกลับมาดูตนเองเลยว่าจริงๆ แล้วเราเองก็มีหลายอย่างต้องปรับปรุง ก็ได้แต่หวังว่าเราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใส่ใจกฎระเบียบและมารยาททางสังคมมากขึ้นกว่าเดิม… ประเทศไทยเรามีนักท่องเที่ยวคุณภาพเยอะ แต่จะดีกว่านี้ถ้าปริมาณเยอะขึ้นกว่าเดิม

 

อ้างอิง:

FYI

รวมวีรกรรมคนไทยในต่างแดน

  • เมาแล้วขับจนก่อเหตุชนนักเรียนญี่ปุ่นเสียชีวิต
  • อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาขโมยภาพวาดในโรงแรมญี่ปุ่น
  • อดีตตำรวจระดับสูงพกปืนที่สนามบินญี่ปุ่น
  • เหยียบย่ำพืชพรรณของชาวไร่บนเกาะฮอกไกโด จนเจ้าของต้นไม้ Tree of Philosophy ต้องตัดสินใจตัดทิ้ง เพราะรู้สึกละอายว่าต้นไม้ของตนเองสร้างความรำคาญให้แก่เพื่อนบ้าน
  • ขีดเขียนกลางหน้าผาก ‘เจ้าแฮชิ’ ประจำกรุงโซลเกาหลีใต้ว่า “Lumi แม่ทุกสถาบัน”
  • ยังไม่รวมวีรกรรมอื่นๆ อีก เช่น กินอาหารแล้วไม่เก็บหลังกินเสร็จ กินของในร้านสะดวกซื้อก่อนชำระค่าสินค้า ปีนเข้าเขตหวงห้ามต่างๆ ฯลฯ
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising