ปฏิเสธไม่ได้ว่าปี 2563 ที่ผ่านมา โลกต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง ส่งผลกระทบทางลบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีภาพรวมเศรษฐกิจโลกค่อยๆ ดีขึ้น ตลาดหุ้นหลายแห่งสามารถฟื้นตัวขึ้นมาสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19
แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการคำตอบมากที่สุดในขณะนี้คือ ภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนจะฟื้นตัวต่อเนื่องมายังปี 2564 หรือไม่ โอกาสและความเสี่ยงในการลงทุนมีมากน้อยเพียงใด สุดท้ายนักลงทุนควรจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด เพื่อคว้าโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ตลาดหุ้นขาขึ้น โอกาสของตลาดเกิดใหม่
กิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี หรือธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2564 มีโอกาสฟื้นตัวสูง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่ด้วยการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ของประเทศต่างๆ ที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ทำให้เศรษฐกิจของหลายประเทศมีการฟื้นตัวในลักษณะ V-Shape โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่มีการคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2564 สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดยเรามองว่าตลาดในภูมิภาคเอเชียจะเป็นจุดสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยตรง เนื่องจากตั้งแต่ปี 2561 ตลาดเอเชียเผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนมาตลอด แต่หลังจาก โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ เราคาดว่าสถานการณ์สงครามการค้าจะไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ การค้าโลกมีโอกาสกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งจีนและอินเดียเป็นประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ รวมทั้งประเทศที่เน้นการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี อย่างเกาหลีและไต้หวันที่สอดคล้องตามธีมเศรษฐกิจยุค Now Normal อีกด้วย
นอกจากนี้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆ ดีขึ้น ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จากการที่ทางการทั่วโลกออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกมีอย่างเหลือเฟือพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นเราจึงมีมุมมองค่อนข้างชัดว่าภาวะตลาดหุ้นในปี 2564 เป็น ‘ขาขึ้น’ ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย ยังได้รับอานิสงส์จากการที่ โจ ไบเดน ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ พร้อมทั้งในต้นปี 2564 กระแส Blue Wave ที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา และการรวมพลังของ โจ ไบเดน, เจเน็ต เยลเลน และ เจอโรม พาวเวลล์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถือเป็นปัจจัยบวกที่ทรงพลังต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ให้ก้าวไกลต่อไป
มองสภาพคล่องพร้อม ดอกเบี้ยต่ำ พฤติกรรมเปลี่ยน สนับสนุนการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากตลาดหุ้นเอเชียที่น่าสนใจแล้ว การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เนื่องจากผู้คนทั่วโลกได้ปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตหลังจากที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว และคงเป็นการยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม ความต้องการใช้เทคโนโลยีจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตอบสนองต่อโลกยุค Now Normal นั่นเอง แม้ในปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้นแพงเกินไปหรือไม่ ซึ่งเรามองว่ายังไม่แพงเกินไปที่จะลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีตอนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่เน้นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของผู้คน เนื่องจากการลงทุนในปัจจุบัน นักลงทุนต้องการลงทุนในธุรกิจที่มี ‘การเจริญเติบโต’ ในอนาคตอย่างยั่งยืน
แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะดูปรับตัวขึ้นมามาก แต่ถ้าเป็นการปรับตัวขึ้นตามการเติบโตของบริษัทก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นภาวะฟองสบู่ ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของ Fed เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งปล่อยสภาพคล่องผ่านการทำ QE Infinity ทำให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดการเงินนั้นมีอยู่มหาศาล นักลงทุนจึงต้องมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี พร้อมทั้งมีความปลอดภัยจากการลงทุนในระดับหนึ่ง ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในคำตอบที่เราอยากจะบอกแก่ทุกท่านให้เริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนนี้
“สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มดีกว่าปีที่แล้ว แต่เรามองว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องวัคซีน แต่หลังจากที่วัคซีนเริ่มเข้ามาในครึ่งปีหลัง หุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ทางทีเอ็มบีมองว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.40% โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ปรับขึ้นตลอดทั้งปี จากเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง นักท่องเที่ยวและการส่งออกยังไม่กลับมาเต็มร้อย จึงยากที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” กิดาการกล่าว
แนะจัดพอร์ตการลงทุนต้อนรับยุคใหม่
ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปี 2564 แนะนำให้นักลงทุนมีมุมมองใหม่ในการจัดพอร์ตลงทุน โดยในส่วนหลักของพอร์ตจะเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลัก ดังที่กล่าวไปแล้วว่าวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่โลกเราเผชิญในปีที่แล้วต่อเนื่องมาในปีนี้ ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรูปแบบการดำเนินชีวิตของเราไป หรือที่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนจาก New Normal เป็น Now Normal ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของเรามากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
นอกจากนี้พอร์ตการลงทุนของเราจะผสานด้วยหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการมาของวัคซีนจะช่วยสนับสนุนให้ราคาของหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพคล่องที่มีอยู่มาก ผู้ลงทุนต้องระวังเรื่องความผันผวนที่อาจรุนแรงมากกว่าภาวะปกติเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนอย่างฉับพลัน ดังนั้นการกระจายการลงทุนให้เหมาะสมจะทำให้พอร์ตไม่เสี่ยงมากเกินไป โดยหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตก็คือ ทองคำ แม้ปีนี้ราคาทองคำอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่หากครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นและมาตรการกระตุ้นต่างๆ ที่ออกมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ก็เป็นโอกาสของทองคำได้เช่นกัน
สำหรับธีมหลักของการลงทุนแบ่งเป็นกองทุนหุ้นและตราสารหนี้ โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ ซึ่งกองทุนที่น่าสนใจจะแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น กองทุนหุ้นทั่วโลกที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง อย่าง ONEUGG กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่เน้นการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงดี อัตราการเติบโตสูงอย่าง TMBUSBLUECHIP
กองทุนหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกอย่าง T-ES-GTECH กองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นนวัตกรรมแห่งอนาคตอย่าง TMB-ES-GINNO รวมถึงกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพอย่าง TGHDIGI เสริมทัพด้วยกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียเป็นหลัก เน้นธีมการค้าโลกอย่าง TMBAGLF หรือกองทุนหุ้นจีน A Share ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งของจีนอย่าง TMB-ES-CHINA-A
ส่วนนักลงทุนที่อยากลงทุนในหุ้นไทยก็มีกองทุนอย่าง TSF ซึ่งเป็นกองทุนที่มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตการลงทุน และสุดท้ายสำหรับท่านนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ที่ได้ชูเรื่องพลังงานสะอาดเป็นนโยบายสำคัญ ก็มีกองทุน T-ES-GGREEN
สำหรับกองทุนตราสารหนี้มองว่า ปีนี้นักลงทุนต้องการลงทุนตราสารหนี้ใน 2 รูปแบบ คือ แบบที่หนึ่ง เพื่อเอาไว้เป็นที่พักเงิน เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมาก และตลาดหุ้นมีความผันผวน ผู้ลงทุนอาจต้องมีการทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นบ้าง และนำเงินมาพักในตราสารหนี้ระยะสั้น โดยมีกองทุนที่น่าสนใจสำหรับการพักเงิน เช่น TMB-T-ES-IPLUS ส่วนรูปแบบที่สอง เป็นคนที่มีเงินเย็น ต้องการมองหาผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่อาจมีความกังวลเรื่องผิดนัดชำระหนี้และรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก จึงต้องเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีคุณภาพ ซึ่งในกรณีนี้มีกองทุนที่แนะนำคือ TMB-ES-GSBOND และ TMBGINCOME เพราะกองทุนที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารที่ต่ำและมีการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนที่มีคุณภาพดีอีกด้วย
“มุมมองปี 2564 ค่อนข้างเป็นบวก ภาพรวมการลงทุนมีความสดใส และมีหลายปัจจัยสนับสนุน โดยเรื่องแรกคือ การกระจายวัคซีน ซึ่งต้องดูว่าจะกระจายได้ครอบคลุมมากน้อยแค่ไหน เรื่องที่สองคือ แนวโน้มการค้าโลกที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โจ ไบเดน ยังไม่มีท่าทีที่แข็งกร้าว ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์สงครามการค้าคลี่คลายไปในทางที่ดี เรื่องสุดท้ายคือ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน ทำให้การลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจกว่าพันธบัตรอยู่มาก”
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล