บลจ.ทิสโก้ ประกาศเพิ่มทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้สหรัฐฯ (TUSBOND) เป็น 2 พันล้านบาท พร้อมเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม (TUSBOND-SSF) เอาใจคนชอบลงทุนระยะยาว รับกระแสความต้องการลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดี เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน ลุ้นกำไรต่อที่สองจากราคาหน้าตั๋วที่อาจปรับเพิ่มขึ้นหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดดอกเบี้ยในปีหน้า
สาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบทศวรรษ ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่เคยขึ้นดอกเบี้ยรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ กลายเป็นสินทรัพย์มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 4% ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจลงทุน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
อีกทั้งในอนาคตนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า หลังจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ยและมีโอกาสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปี 2567 หลังแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อที่บรรเทาลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนต่อที่สองจากราคาตราสารหนี้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่เริ่มแสดงความสนใจเข้าซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ แล้ว
ดังนั้นเพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มีความมั่นคง และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี บลจ.ทิสโก้ จึงประกาศเพิ่มจำนวนเงินทุนโครงการของกองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้สหรัฐฯ (TUSBOND) ความเสี่ยงระดับ 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) อีกจำนวน 1 พันล้านบาท รวมเป็นจำนวนเงินทุนโครงการทั้งสิ้น 2 พันล้านบาท พร้อมเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม (TUSBOND-SSF) เพื่อรับความต้องการนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวและบริหารจัดการภาษีในช่วงปลายปี
สำหรับกองทุน TUSBOND เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – US Aggregate Bond ชนิดหน่วยลงทุน C (acc) – USD ซึ่งมีนโยบายลงทุนอย่างน้อย 67% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนหลัก ในตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ ที่ออกหรือค้ำประกันโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐสหรัฐอเมริกา หน่วยงาน หรือบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจหลักในสหรัฐอเมริกา
“กองทุน TUSBOND มีความโดดเด่นตรงที่เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ทั้งพันธบัตรสหรัฐฯ และตราสารหนี้เอกชนในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) เท่านั้น ซึ่งถือได้ว่ามีความมั่นคง มีโอกาสได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงมากแล้ว พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากราคาตราสารหนี้หรือราคาหน้าตั๋วหากดอกเบี้ยในอนาคตปรับตัวลดลง โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ (TISCO ESU) มองว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีสหรัฐฯ ที่ระดับ 3.8% มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ราว 9-16% ในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับตัวลง
“อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันความผันผวนจากค่าเงิน กองทุนจะมีกลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินในระดับประมาณ 90% ของพอร์ตการลงทุน” สาห์รัชกล่าว