×

ซีไอเอ็มบี ไทย ชี้ไทยหมดเสน่ห์ในมุมต่างชาติ ส่งผลให้ TDI พุ่งแซง FDI ต่อเนื่อง มองตลาดอาเซียนยังมีศักยภาพน่าลงทุน

06.08.2021
  • LOADING...
Thailand invest

เกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจไทยอยู่ในช่วงมองหาโอกาสลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพการเติบโตที่มากกว่าไทย โดยจากตัวเลขการลงทุนโดยตรงของคนไทยในต่างประเทศ (Thailand Direct Investment หรือ TDI) พบว่า คนไทยไปลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559 แม้ปีก่อนจะเผชิญโควิดแต่ TDI ยังคงโตถึง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ และโตต่อเนื่องมาถึงปีนี้ 

 

เกษมระบุว่า ธุรกิจไทยส่วนใหญ่นิยมไปลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ในปีที่ผ่านมา การลงทุนในสิงคโปร์มีมูลค่าถึง 4 พันล้านดอลลาร์ อินโดนีเซีย 3 พันล้านดอลลาร์ เวียดนาม 2 พันล้านดอลลาร์ และมาเลเซีย 1.5 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดีผลตอบแทนจากการไปลงทุนอาจต้องรอ 3-5 ปี หากธุรกิจเติบโต แข่งขันได้ เงินลงทุนจะกลับเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้น

 

ขณะที่เงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย Foreign Direct Investment (FDI) กลับน้อยกว่าเงินที่คนไทยนำไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดย FDI ปีก่อน ติดลบ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมองย้อนกลับไปก่อนมีโควิด FDI มาไทยไม่ได้สูงมาตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน

 

“ตลาดไทยไม่น่าสนใจในสายตาต่างชาติอีกต่อไป เพราะเราไม่ค่อยมีบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ส่วนใหญ่เป็นเซกเตอร์ใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี สินค้าไฮเทค สมาร์ทโฟน รถ EV ซึ่งต้องมีเงินทุนใหม่ๆ มารองรับ ถ้าถามว่าไทยจะมีอุตสาหกรรมใดที่จะพัฒนาเพื่อต่อยอดเศรษฐกิจของเราเองได้ เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องนำไปคิด ทำไมต่างชาติเขามองข้ามเราไป หรือโครงสร้างพื้นฐานเราเองมีปัญหา เช่น เรื่องคน เรื่องการศึกษา แรงงานเราค่าแรงไม่ถูก แต่ทักษะสูงไม่พอหรือเปล่า รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ไม่เอื้อ ทำให้ประเทศไทยขาดความน่าสนใจในการลงทุน อย่าว่าแต่นักลงทุนต่างชาติเลย แม้แต่นักลงทุนไทยยังไปลงทุนกับเพื่อนบ้าน” เกษมกล่าว

 

สำหรับตลาดหุ้นไทย เกษมระบุว่า การระบาดของโควิดที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันยังทำสถิติใหม่ไม่หยุด ได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ต้นปีหรือ Year to Date ขายไปแล้วกว่า 9 หมื่นล้านบาท Year to Date และเมื่อรวมกับปีก่อนเป็นการเทขายรวม 2.6 แสนล้านบาทแล้ว 

 

“ในช่วงหลังนี้ต่างชาติขายอย่างเดียว แทบไม่ซื้อเลยเพราะเงินบาทอ่อนด้วยทำให้มีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นหากไทยยังควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ได้ โอกาสที่ต่างชาติจะกลับมาซื้อคงยาก อย่างไรก็ดีหากไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในไตรมาส 3 SET Index อาจมีโอกาสวิ่งกลับไปแตะระดับ 1,690 จุดได้เช่นกัน” เกษมกล่าว

 

ทั้งนี้หากดูตัวเลขการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีถึง ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2564 พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวม 9.93 หมื่นล้านบาท

 

เกษมกล่าวอีกว่า ไม่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้นที่เผชิญกับการเทขายจากต่างชาติในเวลานี้ แต่ตลาดหุ้นในประเทศอาเซียนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในภาวะใกล้เคียงกัน เนื่องจากโควิดไม่ใช่ปัจจัยเดียว แต่ยังมีปัจจัยความกังวลต่อสัญญาณที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดวงเงินซื้อสินทรัพย์ต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือ Mortgage-backed Securities รวมถึงกังวลว่าดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 จึงลดสัดส่วนถือครองหุ้นแทบทุกตลาดและระมัดระวังกับเงินลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น 

 

อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบเพื่อนบ้าน Market Performance ยังเป็นบวกเล็กน้อย โดยตลาดหุ้นไทยยังทำผลงานได้ดีกว่ามาเลเซีย ใกล้เคียงกับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ส่วนตลาดเวียดนามดีในช่วงแรก โดยนำโด่งขึ้นไปถึง 30% แต่หลังโควิดระบาดหนักจึงลดลงมาเหลือ 19% และถ้าระบาดหนักกว่าเดิมอาจลดลงไปได้อีก

 

“ในระยะสั้นหากการระบาดยังไม่คลี่คลายลงตลาดหุ้นจะเหนื่อย แต่ด้วยศักยภาพของภูมิภาคอาเซียนที่ยังมีโอกาสเติบโตและฟื้นตัวได้เร็ว เชื่อว่าเมื่อตัวเลขการติดเชื้อลดลงเงินทุนต่างชาติก็พร้อมจะไหลกลับเข้ามา โดยหุ้นที่น่าจะฟื้นได้เร็วคือ กลุ่ม Domestic Play” เกษมกล่าว

 

ด้าน ดนัย อรุณกิตติชัย ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมของหลักทรัพย์ในอาเซียนเวลานี้จะได้รับผลกระทบจากโควิด แต่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้ายังทำให้ตลาดอาเซียนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่จะเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุน

 

ดนัยกล่าวว่า การลงทุนในกลุ่มอาเซียนสามารถทำได้ทั้งผ่านกองทุนรวม หรือการลงทุนในหลักทรัพย์โดยตรงในบางตลาด เช่น เวียดนาม ที่น่าสนใจอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยตลาดเวียดนามเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าตลาดอื่นๆ ในอาเซียน 

 

โดย 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในดัชนี VN Index (VNI) ของเวียดนามให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 16.5% ต่อปี สูงกว่าผลตอบแทนช่วงเวลาเดียวกันของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีที่ให้ตอบแทนสูงและเติบโตเร็วช่วงที่ผ่านมา ที่ 15.0% ต่อปี โดยขนาดมูลค่าของตลาดเวียดนาม (Market Capitalization) สะท้อนจากดัชนี VNI ก็เติบโตขึ้นกว่า 3.5 เท่าจากมูลค่าโดยประมาณ 84,000 เป็น 210,846 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรต่อหุ้นเติบโตโดยเฉลี่ย 14.8% ซึ่งเป็นอัตราที่อยู่ในเกณฑ์สูง

 

ขณะที่ประเทศอื่นๆ อาจจะทรงตัวและปรับตัวไม่มากนัก แต่ก็ยังน่าสนใจในแง่ของความหลากหลายของอุตสาหกรรมและความหลากหลายในภูมิภาค โดยบางประเทศเน้นอุตสาหกรรมกลุ่มธุรกิจการเงิน บางประเทศเน้นกลุ่มอุตสาหกรรม

 

นอกจากนี้จากปัจจัยในตลาดโลก ทั้งการแพร่ระบาด นโยบายการเงินการคลัง และการอัดฉีดสภาพคล่องของภาครัฐ ทำให้ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งโดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป เริ่มอยู่ในเกณฑ์แพง สะท้อนจาก Forward PE และความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนอาจต้องระมัดระวังและหันกลับมามองในฝั่งเอเชีย รวมถึงกลุ่มอาเซียนด้วย ซึ่งยังมีระดับการซื้อขายในช่วง 13-18 เท่า และเทียบกับค่าเฉลี่ยของระดับการซื้อในอดีตก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว

 

ดนัยกล่าวว่า ภูมิภาคอาเซียนแม้ปัจจุบันเผชิญปัญหาการแพร่ระบาดที่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ เช่น ในเวียดนามและไทย แต่ในระยะยาว อาเซียนยังคงมีจุดเด่นเรื่องความเป็นตลาดสำหรับผู้บริโภคที่มีขนาดใหญ่ และเป็นตลาดสำหรับชนชั้นกลาง โดยประชากรของกลุ่มอาเซียนคิดเป็น 8.6% ของทั้งโลก และมีอายุเฉลี่ยเพียง 30.2 ปี รวมถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิที่ดีในระยาวและการเติบโตของรายได้ของประชากร รวมถึงมีความโดดเด่นด้านการผลิต และอุตสาหกรรมการเกษตร การท่องเที่ยว และมีความหลายหลายภายในกลุ่ม รวมถึงการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ยังมีต่อเนื่อง อาศัยการเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่การผลิตในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

 

“การจัดพอร์ตการลงทุนเรายังคงแนะนำให้กระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งรวมไทยและอาเซียนด้วยในช่วง 11-39% ตามระดับความเสี่ยงจากพอร์ตความเสี่ยงต่ำสุดไปถึงสูงสุด โดยในช่วงที่ผ่านมาเน้นการลงทุนในเวียดนาม แต่หากมองไปในอนาคต การกระจายบางส่วนลงทุนภูมิภาคอาเซียนก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ” 

 

กองทุนที่ให้ผลตอบแทนโดนเด่นยังเป็นกองทุนที่ลงทุนในเวียดนามที่เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในภูมิภาค โดยกองทุนหลัก ได้แก่ กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนกองทุนที่ลงทุนในภูมิภาคอาเซียนแม้ผลตอบแทนจะต่ำกว่ากองทุนเวียดนามแต่ความเสี่ยงในแง่ของความผันผวนมีน้อย และเนื่องจากกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายอุตสาหกรรมและในหลายประเทศ ได้แก่ กองทุน KT-ASEAN 

 

ด้าน อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า การใช้มาตรการล็อกดาวน์ การฉีดวัคซีนล่าช้า รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อสูงของกลุ่มประเทศอาเซียน จะส่งผลให้การค้าการลงทุนปีนี้รวมถึงอุปสงค์ในแต่ละประเทศชะลอตามไปด้วย อย่างไรก็ดีการส่งออกของแต่ละประเทศยังมีศักยภาพเติบโตได้ดี อยู่ในระดับที่สูงราว 15-20% ในปีนี้ และจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องไปถึงปีหน้า สืบเนื่องจากการที่ชาติพันธมิตร 10 ประเทศมีโอกาสที่จะร่วมมือกับชาติอื่นๆ ในภูมิภาคที่เรียกว่า RCEP และมีการเจรจาการค้าเสรี FTA กับประเทศนอกกลุ่มเพิ่มเติม

 

“อาเซียนมีโอกาสทางธุรกิจสำหรับนักลงทุนไทย เพราะแต่ละประเทศมีศักยภาพด้วยกัน 3 ปัจจัย คือ เศรษฐกิจโตเร็ว ชนชั้นกลางเพิ่มต่อเนื่องสะท้อนภาพกำลังซื้อที่ดี และการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเห็นภาพของอาเซียนยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันอาเซียนจะเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของโควิดที่รุนแรงแต่น่าจะชั่วคราว น่าจะถึงจุดสูงสุดอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และถึงจุดสิ้นสุดได้ในปีนี้จากการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้น ประชากรมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น ผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดลง” อมรเทพกล่าว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising