×

หมอบุญ วนาสิน ชี้ เชื้อโควิด-19 รอบ 3 ไม่เหมือนเดิม ย้ำไทยต้องฉีดวัคซีนเร่งด่วน ลดการกลายพันธุ์

27.04.2021
  • LOADING...
บุญ วนาสิน

เมื่อโควิด-19 ระลอก 3 แตกต่างจากรอบใหม่ เพราะนอกจากเชื้อจะกลายพันธุ์ได้แล้ว สถานการณ์ทั่วโลกยังแตกต่างกันมาก เพราะหลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากการกระจายฉีดวัคซีน แต่รัฐบาลหวังว่า ‘กำลัง’ จะเข้าสู่ก้าวแรกในการกระจายวัคซีนช่วงครึ่งปีหลัง 2564 นี้ แต่ในทางการแพทย์สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร


นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3 นับว่ารุนแรงกว่าระลอก 2 ส่วนหนึ่งเพราะเป็นสายพันธุ์อังกฤษที่กระจายเร็วกว่าปกติ 2 เท่า จุดที่น่าห่วงคืออัตราการกระจายลงปอดอยู่ที่ 3% จากรอบก่อนหน้าที่อยู่ราว 1% รวมถึงครั้งนี้มีกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ทำให้เกิดการระบาดสูงขึ้น 

 

ขณะที่การระบาดรอบใหม่นี้พบว่า มีผู้ป่วยที่ขยับสู่โซนสีเหลืองไปแดงมากขึ้น 3 เท่าจากรอบก่อนหน้า ดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือจำนวนห้องวิกฤตของไทยจะเพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วยหรือไม่ หากการระบาดยังเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ปัจจัยสำคัญที่สุดคือรัฐต้องควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้โดยเร็ว 

 

ทั้งนี้ ในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนอย่าง THG มีการเตรียมตัวมาตั้งแต่ปี 2563 ผ่านการซื้อเครื่องมือเพิ่มเติม เตรียมห้องวิกฤตที่ต้องสั่งซื้อทั้งเครื่องช่วยหายใจ โรงพยาบาลสนาม ถือว่ามีความพร้อมรองรับสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเตรียมยาฟาวิพิราเวียร์ (ยาต้านโควิด-19) สั่งนำเข้าเพิ่มเติมไว้ 

 

การใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ที่แม้จะราคาสูง (เฉลี่ยเม็ดละ 300 บาท) แต่หากให้ยาตั้งแต่วันแรก เชื้อจะหมดภายใน 4 วัน และเชื้อจะยังไม่ลงไปทำลายปอด ขณะเดียวกันยังลดจำนวนผู้ป่วยที่จะต้องเข้า ICU ซึ่งปัจจุบันอาจมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยหลักล้านบาทต่อราย และมีจำนวนจำกัด (1,500 เตียง) อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่อปอดถาวร ดังนั้นในทางการแพทย์ การใช้ยานี้ถือว่าคุ้ม เพราะลดจำนวนผู้ป่วยในภาวะร้ายแรงลงได้

อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจไทยคือต้องมี ‘วัคซีน’ ที่เพียงพอต่อประชากรในประเทศ โดยตามทฤษฎีจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ต้องมีการฉีดวัคซีน 70% ของจำนวนประชากร หรือในไทยราว 110 ล้านโดส (คนไทย 100 ล้านโดส และแรงงานต่างชาติ 10 ล้านโดส) 

 

ซึ่งจากการประกาศทางการในปัจจุบัน หากจัดหาสู่ประชาชนได้จริงราว 65 ล้านโดส และจะฉีดภายในสิ้นปีนี้ ต้องมีการฉีดวัคซีนวันละ 3 แสนราย (จากปัจจุบันอยู่ที่ 28,000 คนต่อวัน)

 

ทั้งนี้ การมีวัคซีนย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว ดังนั้นวัคซีนจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยธุรกิจโรงแรมและภาพรวมให้ไปต่อได้ เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจึงเร่งระดมฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เช่น มัลดีฟ กรีซ อังกฤษ ฯลฯ

 

“เราควร Semi Lockdown ในช่วงปีใหม่ ซึ่งกรุงเทพฯ​ เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ ก็กักตัว 14 วันให้เชื้อตายและหายไป แต่เมื่อเชื้อมีการกระจายไปต่างจังหวัด ทำให้เชื้อกระจายมากขึ้น ซึ่งของไทยยังสามารถตรวจหาเชื้อได้ช้ากว่าประเทศอื่น เพราะเป็นการตรวจหาเท่าที่จำเป็น”

 

ขณะที่ครั้งนี้มองว่า หากต้องล็อกดาวน์ ควรต้องล็อกดาวน์เฉพาะจุดสีแดงเข้ม เพราะเชื้อรอบนี้กลายพันธุ์ค่อนข้างเร็ว หากปล่อยไว้อาจทำให้การควบคุมสถานการณ์ยากขึ้นในต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ไม่ควรล็อกดาวน์ทั่วประเทศเหมือนปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งเห็นการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่ระบาดในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นที่ล็อกดาวน์รอบ 3 

 

ในส่วนของรายได้ THG ปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งจากแล็บที่มีเครื่องมือรองรับการตรวจและเครื่องมืออื่นๆ ที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว นอกจากนี้ทาง THG ยังสั่งยาต้านโควิด-19 เพิ่มเติมราว 2 ล้านเม็ด เพื่อรองรับสถานการณ์ขณะนี้

 

ทั้งนี้ คาดว่าโรงพยาบาลในประเทศไทยจะสามารถรองรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นในระดับประมาณ 2,000 คนต่อวัน จึงจำเป็นต้องเตรียมการขยายพื้นที่รักษา ทาง THG ร่วมกับโรงแรมเครือข่าย (รวม 800 ห้อง) เปิดหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) เพื่อดูแลและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising