จุดรวมตัวของขบถก้นครัวที่มีความชอบและท่าทีต่ออาหารคล้ายคลึงกัน ถึงแม้ใครจะบอกว่าพวกเขาคิดแปลก ไม่เดินตามแบบแผน แต่คนกลุ่มนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเป็นคนทำอาหารที่ดีไม่จำเป็นต้องเปิดตำราเข้าครัวเสมอไป
The DAG (เดอะ แดก) เกิดจากการรวมตัวของสี่คนสนิทอย่างเชฟแวน-เฉลิมพล โรหิตรัตนะ และบาร์เทนเดอร์ กานต์ เลียงศรีสุข จากร้านราบ เชฟปาร์ก-ภัทรวิทย์ จันทร์ไทย และโอ๊ต-นนทวรรษ แก้วสด สองคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่ขอเข้ามาคลุกวงในด้วย ทั้งสี่มีความคิดเรื่องอาหารและการทำอาหารในทิศทางเดียวกัน ทำนองว่าอยากขายอะไรก็ขาย ตามสัญชาตญาณของคนปรุง เพราะพวกเขาเชื่อว่าถ้าวัตถุดิบไม่ดีหรือไม่ได้มาตรฐานก็ไม่จำเป็นต้องนำมาทำอาหารเพื่อยัดเยียดให้ลูกค้ากิน ดังนั้นเมนูอาหารของทางร้านจึงปรับเปลี่ยนทุก 1-2 สัปดาห์ (หรืออาจก่อนหน้านั้นถ้าวัตถุดิบหมดก่อน) คอนเซปต์ของร้านนี้จึงหมายถึงโนคอนเซปต์ เน้นอาหารภาคกลางที่อาจมีจานลูกครึ่งอย่างพาสต้าหมูกะปิเป็นเมนูพิเศษประจำวัน
“ผมทำอาหาร Thai Taste แต่ไม่ใช่อาหารไทย เพราะผมสามารถทำอะไรก็ได้ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น จะบอกว่าไม่ใช่อาหารไทยเลยก็ไม่ได้ แต่จะเรียกว่าเป็นอาหารไทยเต็มปากก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่รับรองว่าทุกจานผ่านการคิดมาแล้วเป็นอย่างดี” เชฟปาร์กพยายามให้คำจำกัดความอาหารของ The DAG
เชฟปาร์ก-ภัทรวิทย์ จันทร์ไทย อดีตเชฟเยาวชนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี
The Vibe
เนื่องจากร้านตั้งอยู่ในโครงการ Warehouse 30 บรรยากาศภายในร้านจึงไม่หนีจากพื้นที่ในโครงการเท่าไรนัก ออกแนวโกดังอินดัสตรี ทางร้านจึงไม่เน้นลูกเล่นในการตกแต่งให้หวือหวา จะมีก็เพียงเคาน์เตอร์ยาวสำหรับทำครัวและเครื่องดื่ม ที่มีเครื่องปรุงและวัตถุดิบหน้าตาแปลกตั้งอยู่เรียงราย และโต๊ะยาวที่เหมาะสำหรับการมาเป็นหมู่คณะหรือครอบครัว เน้นความดิบเปลือยเผยเนื้อแท้ของวัสดุที่ขับเน้นให้เห็นถึงความจริงใจของพ่อครัว ที่มุ่งหวังสร้างสรรค์อาหารมื้อนั้นให้เรียบง่าย แต่ก็พิเศษสุดในแง่รสชาติและวัตถุดิบออร์แกนิกที่ The DAG เลือกใช้
The Dishes
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเมนูอาหารของ The DAG เวียนเปลี่ยนทุกสองสัปดาห์ ดังนั้นสิ่งที่คุณเจอวันนี้อาจไม่มีในครั้งหน้า ยกเว้นแต่อาหารยืนพื้นบางรายการ เชฟปาร์กเล่าว่าเขาได้แยกหมวดหมู่อาหารเป็น 5 หมวด ได้แก่น้ำพริก แกง ยำ ราดหน้า ตุ๋นเริ่มจากหมวดน้ำพริกซึ่งในสัปดาห์ที่เราไปเป็น น้ำพริกไข่เค็ม (สอบถามราคาได้ที่ร้าน) ที่ได้แรงบันดาลใจจากน้ำพริกลงเรือ แต่เชฟอยากเน้นไข่เค็มแน่นๆ เลยนำไข่เค็มคัดเฉพาะไข่แดงปั่นกับพริกขี้หนู หัวหอม กระเทียม และรากผักชี ก่อนปรุงรสเปรี้ยวด้วยมะนาวและน้ำตาลมะพร้าว กินแนมกับผัดสดอย่างแตงกวา มะเขือ หรือ ผักพื้นบ้านของอีสานอย่างผักแขยงที่มีความฉุน และน้อยครั้งนักที่จะเห็นร้านอาหารยกผักชนิดนี้ขึ้นสำหรับ
น้ำพริกไข่เค็ม
หมวดถัดไปได้แก่ แกง ที่ครอบคลุมแกงทุกประเภทแต่เน้นไปทางแกงที่มีรสชาติเผ็ดร้อน เช่น แกงแก้มหมูผสมปลาช่อนนาแห้ง (สอบถามราคาได้ที่ร้าน) ที่เป็นลูกผสมระหว่างแกงกะทิกับแกงเผ็ด รสสัมผัสจึงไม่หนักกะทิจนเกินไป สามารถตักซดหรือคลุกกับข้าวได้กำลังดี เด่นตรงปลาช่อนนาแห้งที่ได้มาจากนาอินทรีย์ ไร้สารพิษ คุณจึงมั่นใจได้ว่าปลาช่อนนาแห้งที่คลุกเคล้ากับน้ำแกงและโรยหน้าให้หอมกรุ่นนั้น ปลอดสารพิษอย่างแน่นอน
แกงแก้มหมูผสมปลาช่อนนาแห้ง
ต่อไปคือหมวดยำที่ต้องมีติดเมนูไทย เมนูยำจานเด็ดของที่นี่ได้แก่ ยำปลาสลิด (240 บาท) ซึ่งเป็นเมนูประจำ ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่ปลาสลิดแดดเดียวที่ทางร้านได้มาจากแหล่งผลิตชั้นดี เพราะปลาสลิดเจ้านี้ให้สัมผัสที่เหมือนปลาสด แต่มีรสออกไปทางปลาแดดเดียว ไม่กรอบอย่างเดียวจนขาดรสชาติเนื้อปลา เมื่อนำมาคลุกเคล้ากับน้ำยำที่ได้ความเค็มจากกะปิ จึงเพิ่มมิติให้ยำจานนี้ไปอีกขั้น
ยำปลาสลิด
นอกจากเมนูที่กล่าวไปข้างต้น ทางร้านยังมีเมนูกินง่าย เด็กๆ ชอบอย่าง ปีกไก่ทอด (6 ชิ้นราคา 100 บาท) เชฟนำปีกไก่คลุกซอสที่ทำจากเคยฉลูหรือเคยกุ้งได้รสเค็มๆ ของกะปิเข้ากันดีกับข้าวสวยร้อนๆ เป็ดพะโล้ (140 บาท) เสิร์ฟสไตล์ Duck Confit ต่างกันตรงน้ำจิ้มทำจากหัวเชื้อคอมบูชะหรือชาหมัก เติมพริกเพิ่มรสชาติจัดจ้าน แทนที่จะเป็นน้ำส้มสายชูเหมือนร้านทั่วไป
(บน) ปีกไก่ทอด (ล่าง) เป็ดพะโล้
นอกจากนี้ยังมีเมนูตุ๋นสำหรับผู้ที่ไม่ชอบแกงรสเผ็ด และ ราดหน้า (200 บาท) ที่ถือเป็นนิยามใหม่ของราดหน้า เพราะเป็นการนำเส้นหมี่กรอบมาราดด้วยน้ำที่มีความเหนียวข้นเหมือนราดหน้า ซึ่งอาจเป็นน้ำหรือเครื่องเคียงอะไรก็ได้ในแต่ละวัน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคะน้าหรือหมูหมักเท่านั้น เช่น ราดหน้าแกงกะหรี่หมี่กรอบ
ส่วนเมนูจานเดียวสำหรับคนที่อยากจบในตัว ได้แก่ ข้าวหน้าอะไรก็ได้ (หมู 200 / เนื้อ 260 บาท) ที่เปลี่ยนจากข้าวโปะเนื้อต่างๆ เป็นการนำข้าวไปคลุกผงคลุกข้าวอย่างฮ้าแห้งหรือปลาร้าแห้งของทางเหนือ (แล้วแต่ว่าวันนั้นคุณจะเจอผงคลุกข้าวรสใด) โปะด้วยเนื้อหมูหรือเนื้อวัว และเพื่อไม่ให้จานนี้แห้งจนเกินไปจึงปิดท้ายด้วยไข่ออนเซนเพิ่มความฉ่ำ ไม่ทำให้ฝืดคอ
นอกเหนือจากเมนูอาหารจะแปรเปลี่ยนไปทุกสองสัปดาห์แล้ว ข้าวสวยที่ทางร้านใช้ยังตามฤดูกาล อย่างช่วงนี้ใช้ข้าวพันธ์ุมะลิซ้อน ที่มีความหนึบเหมือนข้าวญี่ปุ่นแต่หอมเหมือนมะลิ แต่เมื่อข้าวพันธ์ุนี้หมดลงก็ต้องไล่ดูกันว่าจากนี้ไปจะมีข้าวพันธ์ุไหนที่มีรสชาติชนะเลิศ เหมาะกับอาหารของที่ร้านมากที่สุด
The Drinks
โอ๊ต-นนทวรรษ แก้วสด ดูแลเครื่องดื่มภายในร้าน
แม้หนึ่งในหุ้นส่วนอย่างคุณโอ๊ตจะมีประสบการณ์หลังบาร์มาก่อน แต่เมนูเครื่อง
ดื่มของที่นี่เน้น Highball เช่น จิน โทนิก เหล้า น้ำ โซดา เสิร์ฟมาในแก้วขนาดใหญ่ แบบที่เราเห็นรุ่นใหญ่กินดื่มกันในร้านอาหาร เน้นดื่มเรื่อยๆ ยาวๆ ให้รสกลางๆ แต่ถ้าใครอยากลิ้มลองสเปเชียลค็อกเทลก็สามารถสั่งได้เพราะมีอยู่ในเมนูเช่นกัน เช่น Vicky (300 บาท) เบสเป็นจินผสมเกรปฟรุตและเกสรดอกไม้ เพิ่มความขมของบิตเตอร์สมุนไพร รวมถึงคลาสสิกค็อกเทลต่างๆ คุณโอ๊ตก็สามารถทำให้ได้ แต่กระซิบบอกไว้หน่อยว่าคุณโอ๊ตมีฝีมือเรื่องม็อกเทลเพราะโดยส่วนตัวชอบน้ำผลไม้ เมนูม็อกเทลของที่นี่จึงไม่ธรรมดาอย่าง Paula หรือ พรหล้า (250 บาท) ที่ให้รสคล้ายบลัดดี้ แมรี่ เพราะใช้มะเขือเทศ เกรปฟรุต ใบโหระพา และโป๊ยกั้ก ต่างกันตรงดื่มแล้วสดชื่นคลายอาการเมาค้างได้ดี
(ซ้าย) พรหล้า ม็อกเทลดื่มแล้วสดชื่น (ขวา) Vicky เบสด้วยจิน
The DAG
Open: เปิดวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 15.00-21.00 น. ปิดทุกวันจันทร์
Address: Warehouse 30 (โกดัง 5)
Budget: ราคาเริ่มต้น 180 บาท
Contact: โทร. 08 7363 2629
Page: www.facebook.com/pg/DAG-1970951916568389/about/?ref=page_internal
Maps: