×

ทิศทางนโยบายสุขภาพไทย และการบูรณาการกองทุน 3 ฝ่ายสู่การดูแลสุขภาพคนไทยอย่างยั่งยืน [ADVERTORIAL]

โดย THE STANDARD TEAM
06.12.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 min read
  • เกือบ 100% ของคนไทยมีระบบสุขภาพโดยกองทุนภาครัฐ 3 กองทุนที่ดูแลเรา คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
  • แม้ระบบสุขภาพไทยจะดี แต่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง 3 ฝ่าย ผู้ให้บริการ กองทุนต่างๆ และผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ ยังต้องพัฒนาร่วมกัน เพื่อส่งเสริมระบบสุขภาพไทยให้เติบโตและแข็งแรง
  • ระบบสุขภาพไทยต้องบูรณาการความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ทั้งการสร้างผลกำไรให้กองทุนขยายตัว การวางแผนการจ่ายเงินรักษาที่รัดกุมมากขึ้น การทำแซนด์บ็อกซ์เพื่อหานวัตกรรมการดูแลสุขภาพ รวมถึงการสร้างทัศนคติการดูแลสุขภาพแบบใหม่ขึ้นมา
  • นวัตกรรมเงินทุนและเครื่องมือประเมินนวัตกรรมเทคโนโลยีสุขภาพไทยจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมกองทุนต่างๆ และการลงทุนของรัฐให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น

“การลงทุนกับตัวเองคือการลงทุนที่ดีที่สุด” เราอาจเคยพบเจอประโยคนี้ในโลกยุคปัจจุบันในหลากหลายมิติและมุมมอง อีกมุมหนึ่งคือการลงทุนหรือการดูแลสุขภาพตนเอง ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและกลไกที่ส่งเสริมการดูแลและรักษาสุขภาพของประชาชนและแรงงานไทย 

 

อย่างไรก็ตาม กลไกที่ดูแลสุขภาพคนไทยยังคงเผชิญหน้าความท้าทายและความเหลื่อมล้ำ ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยที่มากขึ้นและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ จึงเข้ามาจับเข่าคุยกัน เพื่อหาหนทางที่จะเป็นข้อเสนอให้ภาครัฐและเอกชนบูรณาการร่วมกันเพื่อสร้างสังคมแห่งสุขภาวะที่ดี เพื่อความมั่งคั่งของตัวเองและประเทศ 

 

เสวนาวิชาการ ‘Thailand Healthcare Policy Forum: Sustainable Health (and Wealth) for Thailand ไขกุญแจ สู่ความยั่งยืนทางสุขภาพของคนไทย’ ที่จัดเสวนาโดยการบูรณาการความร่วมมือจากสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.), คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด 

 

วาสิต ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดงาน ‘Thailand Healthcare Policy Forum: Sustainable Health (and Wealth) for Thailand ไขกุญแจ สู่ความยั่งยืนทางสุขภาพของคนไทย’

 

ประเทศไทยมีกองทุนสุขภาพอะไรบ้าง?

 

ปัจจุบันประเทศไทยมี 3 กองทุนที่ช่วยดูแลสุขภาพคนไทยราวเกือบ 100% ของทั้งหมด คือ

 

  1. กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ดูแลคนไทยที่ไม่มีสิทธิการดูแลสุขภาพอื่นๆ ประมาณ 73% ของประชากรทั้งหมด

 

  1. กองทุนประกันสังคม ดูแลพนักงานและลูกจ้างเอกชนราว 14 ล้านคน หรือ 20% แม้จะมีการดูแลกลุ่มคนทำงาน แต่ค่าใช้จ่ายรวมยังต่ำกว่ากลุ่มข้าราชการมาก

 

  1. สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ราว 5 ล้านคน หรือ 7% นอกจากดูแลข้าราชการที่มีสิทธิแล้ว ยังดูแลผู้อาศัยสิทธิของข้าราชการ มีการคุ้มครองที่กว้างขวางอย่างมาก

 

กองทุนสุขภาพไทยดีที่สุดในภูมิภาค แต่…? 

 

ดร.นพ.ชัยยศ คุณานุสนธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า กองทุนที่ สปสช. ดูแลคือกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) 1 ใน 3 กองทุน ซึ่งมีกองทุนประกันสังคมและกองทุนสวัสดิการข้าราชการ

 

ดร.นพ.ชัยยศ คุณานุสนธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 

สถิติที่ผ่านมาแสดงผลว่า ประเทศไทยมีรายจ่ายสุขภาพทั้งหมด (THE) ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) อยู่ในระดับดีมาก จากการที่มีการใช้รายจ่ายสุขภาพจากภาครัฐหรือกองทุนต่างๆ กว่า 71% จากการใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดในประเทศที่ดูแลสุขภาพคนไทย จนประเทศไทยมีการบริการด้านสุขภาพที่ครอบคลุมที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

 

ดร.นพ.ชัยยศ กล่าวปาฐกถาพิเศษ

 

อย่างไรก็ตาม ดร.นพ.ชัยยศ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีความแข็งแกร่งครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านปกป้องความเสี่ยงทางการเงิน การบริการที่ครอบคลุม และการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ กระนั้นมุมมองของผู้มีส่วนในด้านกองทุนและประกันสุขภาพทั้ง 3 ฝ่าย คือ ผู้ให้บริการ ผู้จ่ายเงิน และผู้ได้รับประโยชน์ ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญและพัฒนาต่อไป

 

  • มุมมองผู้ให้บริการ (Provider Aspect) การแพทย์ปฐมภูมิจะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ควบคุมต้นทุนในขณะที่ยังรักษาคุณภาพของการรักษาไว้ และโอบรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อพัฒนาการแพทย์
  • มุมมองผู้จ่ายเงิน (Payor Aspect) หรือก็คือกองทุนต่างๆ ที่จะต้องเสาะหาวิธีการลงทุนหรือแหล่งงบประมาณเพื่อให้กองทุนขยายตัวขึ้น และจัดการการจ่ายเงินให้ผู้ได้รับสิทธิให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น
  • มุมมองผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ (Beneficiary Aspect) จะต้องทำความเข้าใจสิทธิประโยชน์ของตนเองให้ครบถ้วน รวมถึงจัดการกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

 

สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการกับภาระงบประมาณ

 

วารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ฉายภาพให้เห็นว่า สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้ประโยชน์แก่ข้าราชการ และยังดูแลผู้อาศัยสิทธิ ทั้งบุพการี คู่สมรส และบุตร จากข้อมูลพบว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล ผู้ที่ใช้สิทธิสวัสดิการเป็นผู้ที่มีอายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไป (ผู้มีสิทธิและผู้อาศัยสิทธิ์)

 

วารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง

 

เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ปริมาณการใช้สิทธิเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์ของสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการถือว่ามีความครอบคลุมสูง ทั้งการเข้าถึงยา การรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งบางครั้งพบว่ามีการใช้สิทธิไปในทางไม่สุจริตและเกินความจำเป็น ดังนั้น การบริหารจัดการต้องรัดกุมมากขึ้น และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้ใช้และอาศัยสิทธิจะเป็นทางออกที่ดี

 

ประกันสังคมหนุนทำแซนด์บ็อกซ์ด้านสุขภาพ

 

พล.ต.ท. นพ.ธนา ธุระเจน ประธานคณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ทัศนคติในด้านสุขภาพและกองทุนประกันสังคมยังเข้าใจผิดกันอยู่ ทั้ง 2 อย่างต้องเปลี่ยนมุมมองจากการเป็น ‘ค่าใช้จ่าย’ ให้มองเป็น ‘การลงทุน’ เงินสมทบทุนที่ได้รับมาจากลูกจ้าง กองทุนก็จะนำไปลงทุนในส่วนต่างๆ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นสามัญต่างๆ เพื่อให้เกิดกำไรมาเสริมความแข็งแรงของกองทุน

 

พล.ต.ท. นพ.ธนา ธุระเจน ประธานคณะกรรมการการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน

 

ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมที่มีหน้าที่ดูแลกองทุนประกันสังคม มีความพยายามที่จะสร้างเฮลท์แคร์สมัยใหม่มากขึ้น ทั้งการลงทุนในโครงสร้างด้านเทคโนโลยี และโครงการอย่างผ่าตัด 27 รายการ ครอบคลุม 76 โรค ภายใน 28 วัน, โครงการนำร่อง 15 โรค 15 วัน หรือโครงการ 15 วัน ใน 5 โรคร้ายแรง ในฝ่ายรัฐบาลก็ต้องมองว่า Health is Wealth การลงทุนด้านสุขภาพก็ช่วยให้ได้ประโยชน์ การริเริ่มทำแซนด์บ็อกซ์ในด้านสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่จะหาโซลูชันให้กับแรงงานสมัยใหม่

 

การดูแลสุขภาพคนไทยที่ดีอยู่ที่ ‘ทัศนคติ’

 

ไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนกล่าวว่า แม้ในภูมิภาค ไทยจะมีหลักประกันสุขภาพที่ดีที่สุด กระนั้นก็ยังมีพื้นที่อีกมากที่ไทยยังพัฒนาได้ ประกันชีวิตก็เป็นหนึ่งในกลไกที่ลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสิทธิกองทุนต่างๆ มายด์เซ็ตของการสร้างสังคมแบบ Care Economy ที่ทุกคนจะใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเอง การทำประกันชีวิตก่อนเกษียณเพื่อไม่สร้างภาระให้ลูกหลาน ตรงนี้ก็จะเข้ามาเติมช่องว่างจากกองทุนต่างๆ 

 

ไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

 

ลดทุกข์ เพิ่มสุข บูรณาการรัฐ-เอกชนร่วมกัน

 

ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล ประธานฝ่ายวิชาการหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่น 34 ผู้ดำเนินการเสวนา สรุปจากการพูดคุยและแลกเปลี่ยนความเห็นของทั้ง 3 องค์กร ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า กองทุนต่างๆ ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการข้าราชการ รวมถึงภาคเอกชนอย่างบริษัทประกัน ควรจะบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อ ‘ลดทุกข์ เพิ่มสุข’ ให้กับผู้มีสิทธิหรือผู้ใช้บริการด้านสุขภาพที่จะได้รับบริการสุขภาพที่ดี และการออกแบบประโยชน์

 

ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล และวิทยากรทั้ง 3 ฝ่าย เห็นพ้องกันด้านการบูรณาการ

 

ประเทศไทยเผชิญความท้าทายด้านค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากสิทธิประโยชน์ที่ขยายตัว โดยเฉพาะบริการในโรงพยาบาลเอกชน การลดภาระของรัฐจึงต้องอาศัยการบริหารกองทุนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การกำหนด Copayment ในบางบริการ ควบคู่กับการส่งเสริมให้ประชาชนซื้อประกันสุขภาพส่วนบุคคล เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดข้อจำกัดของระบบสุขภาพไทย นอกจากนี้ การบูรณาการระหว่างกองทุนสุขภาพ จะช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองในด้านการจัดซื้อยา และลดความซ้ำซ้อนในสิทธิการเบิกจ่าย ทั้งนี้ การสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุยังเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพและการเงินในระยะยาว

 

ทางเลือกใหม่ของการคลังในระบบสุขภาพของประเทศไทย

 

รศ. ภญ. ร.ต.ท.หญิง ดร.ภูรี อนันตโชติ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพที่ดูแลคนไทยทุกคนในประเทศมาตั้งแต่ปี 2545 แม้ประเทศไทยจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีระดับรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง แต่ระบบประกันสุขภาพของประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพดี และในปี 2019 ถูกจัดอันดับด้าน Global Health Security Index อยู่ในอันดับที่ 5 จาก 195 ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยมีกลไกด้านการคลังของระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะมีการใช้การประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Technology Assessment) เป็นฐานในการบริหารจัดการทรัพยากรสุขภาพ

 

แม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบประกันสุขภาพที่ดีมายาวกว่า 24 ปี แต่ก็ยังมีจุดอ่อนที่ต้องการการพัฒนา อาทิ คนไทยยังไม่สามารถเข้าถึงยานวัตกรรมที่ประสิทธิภาพดีมากได้ ตัวอย่างของปัญหาเช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ประเทศไทยมียาสำหรับรักษามะเร็งชนิดต่างๆ กว่า 85% ของยาทั้งหมดที่มีในโลก แต่พบว่ามีเพียง 50% ของยาที่เบิกจ่ายภายใต้บัญชียาหลักแห่งชาติได้ โรคร้ายแรงซึ่งแม้จะมียารักษาแต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากระบบประกันสุขภาพไม่คุ้มครอง รวมทั้งผู้ป่วยและครอบครัวก็ไม่มีความสามารถในการจ่ายค่ารักษาด้วยตนเอง ทั้งนี้ หากมองว่าการประกันสุขภาพมีวัตถุประสงค์คือป้องกันประชาชนชาวไทยให้ปลอดภัยจากการล้มละลายจากการเจ็บป่วย การประกันควรมุ่งเน้นที่จะดูแลสุขภาพประชาชนเมื่อประชาชนเจ็บป่วยร้ายแรง มีค่าใช้จ่ายสูง และไม่มีความสามารถในการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลได้ ระบบจึงควรมุ่งเน้นให้ประชาชนดูแลตนเอง และมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม

 

รศ. ภญ. ร.ต.ท.หญิง ดร.ภูรี อนันตโชติ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของหลายๆ ประเทศ รวมทั้งกลุ่มประเทศรายได้สูงอีกด้วย หนึ่งในความพยายามแก้ปัญหาเบื้องต้นคือการมองหากลยุทธ์ทางการคลังใหม่ๆ สำหรับระบบประกันสุขภาพ เช่น

 

  • การมีกองทุนยา (Drugs Fund) สำหรับโรคร้ายแรงที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น Cancer Drugs Fund หรือ Innovative Drugs Fund เป็นกลไกและเกณฑ์ในการคัดเลือกยาดีที่มีลักษณะเป็น Game Changer เช่น ทำให้หายจากโรคร้ายแรงได้ หรือยืดอายุผู้ป่วยให้ยาวขึ้นหลายปี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งและโรคหายาก)
  • Managed Entry Agreement (MEA) ซึ่งมีการตกลงระหว่างกองทุนกับบริษัทยา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาดีได้

 

แนวทางเหล่านี้แม้จะมีการใช้ในต่างประเทศ แต่ถ้านำมาใช้ในประเทศไทยจะต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้และเงื่อนไขต่างๆ ให้พร้อมเสียก่อน รวมถึงรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนด้วย

 

นอกจากนี้ รศ. ภญ. ร.ต.ท.หญิง ดร.ภูรี อนันตโชติ ได้ให้ข้อมูลอีกว่า ในการเข้าร่วมงานประชุม Future Trends Forum ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมุ่งเน้นพูดคุยกันในหัวข้อ ‘Navigating Innovation, Equity, and Resilience in Healthcare Systems’ มีความเห็นตรงกันว่าสุขภาพคือความมั่งมี (Health is Wealth) การลงทุนให้ประชาชนในประเทศมีสุขภาพดีจะก่อให้เกิด Productivity ซึ่งก่อให้เกิดรายได้ ปัจจุบันเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทมากมาย ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนการ มีผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วมากขึ้น

 

HTA เครื่องมือสร้างความคุ้มค่าการลงทุนด้านสุขภาพประเทศ

 

ผศ. ดร. ภญ.ศิตาพร ยังคง จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอ Health Technology Assessment (HTA) หรือการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ เป็นกลไกที่จะเป็นตัวเสริมความแข็งแรงของระบบสุขภาพไทย เช่น ความคุ้มค่าของเทคโนโลยี ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และมุมมองต่างๆ ทั้งยังช่วยให้ภาครัฐตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงบประมาณที่จำกัด เช่น หากมีการพิจารณานำยาใหม่เข้ามาในระบบสุขภาพไทย HTA จะวิเคราะห์ทั้งประสิทธิภาพของยา ความปลอดภัย และผลกระทบต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังสร้างความคุ้มค่าอื่นๆ เช่น การเปรียบเทียบ ICER (Incremental Cost-Effectiveness Ratio) เพื่อวัดความคุ้มค่าเทียบกับยาเดิม

 

ผศ. ดร. ภญ.ศิตาพร ยังคง จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ในประเทศไทย HTA มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติ (UC) และการจัดทำรายการยาจำเป็นแห่งชาติ (NLEM) รวมถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพที่ครอบคลุมสำหรับคนไทยทุกคน เช่น

 

  • การพิจารณาเพิ่มวัคซีนใหม่
  • การเจรจาต่อรองราคายาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้
  • การพัฒนาคู่มือแนวทางการรักษา (Clinical Practice Guidelines)

 

ในบางประเทศ เช่น ไต้หวัน มีการทำ Reassessment อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามผลลัพธ์ของเทคโนโลยีที่ใช้งานจริง ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยควรศึกษาเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพไทยให้ยั่งยืน

 

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising