×

การเมืองไทยปี 2017 คือปีแห่ง ‘ความบิดเบี้ยว’?

08.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 Mins. Read
  • ภาพรวมการเมืองไทยปี 2017 มี ‘ความบิดเบี้ยว’ มากมาย ไล่ตั้งแต่การ ‘เบี้ยว’ เลื่อนเลือกตั้งของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ‘เบี้ยว’ ไม่ไปฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว, ความยุติธรรมที่ถูกตั้งคำถามจากกรณีการเสียชีวิตของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย และกรณี ไผ่ ดาวดิน ที่ถูกอัยการจังหวัดขอนแก่นยื่นฟ้องในความผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จนไปถึงการปรองดองซึ่งมีมาสคอตอย่าง ‘น้องเกี่ยวก้อย’ เป็นตัวชูโรง แต่ไม่มีรูปธรรมชัดเจนว่าท้ายที่สุดจะสามารถปรองดองได้แบบไหน

THE STANDARD ขอพาย้อนกลับไปทบทวนหาบทเรียนและแง่มุมจากเหตุการณ์การเมืองในรอบปี 2017 ซึ่งเรามองว่าคือปีแห่ง ‘ความบิดเบี้ยว’ ของการเมืองไทย

 

 

ยัง ‘เบี้ยว’ ไม่คืนประชาธิปไตย

3 ปีกว่าแล้วที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปัจจุบันสวมหมวกนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยังคงใช้อำนาจการปกครองประเทศผ่านกลไกที่ตนเองและคณะบุคคลเข้าควบคุมอำนาจฝ่ายบริหาร ที่เคยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยเป็นผู้นำ พร้อมๆ กับ ‘ขอเวลาอีกไม่นาน’ ที่จะทำตามสัญญา สำหรับข้ออ้างเพื่อเข้ามาแก้วิกฤตความขัดแย้งของคนในประเทศ

 

ตลอดปี 2017 พล.อ. ประยุทธ์ ยังคงให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนด้วยท่าทีขึงขัง หลายครั้งเมื่อถูกสื่อยืนไมค์ถามในประเด็นต่างๆ แน่นอนว่าในบรรดาคำถามทั้งหมดที่ดูจะหงุดหงิดใจมากที่สุดก็คือเมื่อถูกถามว่า ประชาชนคนไทยจะได้เลือกตั้งและคืนอำนาจการกำหนดตัวแทนของพวกเขามาสู่มือของอำนาจอธิปไตยอันเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคนในเวลาใดกันแน่?

 

คสช. เคยประกาศโรดแมปตั้งแต่ห้วงเวลาเริ่มต้นเข้ามาใหม่ๆ ว่า มีแผนระยะที่ 3 คือ ให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่ทุกคน ทุกฝ่าย ทุกพวก พอใจ หลังจัดทำรัฐธรรมนูฐฉบับถาวรแล้วเสร็จ แต่โรดแมปดังกล่าวก็ยังเป็นโรคเลื่อนมาโดยตลอด

 

หลังก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 พล.อ. ประยุทธ์ เคยเปิดเผยระหว่างเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการว่า มีแผนให้มีการจัดเลือกตั้งปลายปี 2558 หรือต้นปี 2559

 

ถัดมาไม่กี่เดือนในปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558 ในการหารือทวิภาคีกับสหประชาชาติ (UN) ที่ UN เป็นกังวลว่าพื้นที่ประชาธิปไตยไทยแคบลงนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ก็ประกาศออกมาว่า คาดว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายในกลางปี 2560 โดยบอกว่าจะจัดเลือกตั้งให้ได้ในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2560

 

ข้ามมาที่ปี 2560 เมื่อ พล.อ. ประยุทธ์ ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาที่ทำเนียบขาว ก็ได้ลั่นวาจาว่า ปีหน้าจะมีการประกาศวันเลือกตั้ง แต่ไม่ทันข้ามวัน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลับไหลลื่นไปว่าจะประกาศปี 2561 ไม่ได้แปลว่าจะมีการจัดเลือกตั้งภายในปี 2561

 

เหตุการณ์ที่กลายเป็นข้ออ้างสำคัญที่นำมาสู่การเลื่อน ‘โรดแมป’ ครั้งใหญ่ของคณะ คสช. ก็คือ รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคณะกรรมการชุดของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ถูกคว่ำในสภาปฏิรูปแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2558 ซึ่งแต่เดิมบอกว่าจะเลือกตั้งในปี 2560 ทำให้ระยะแห่งการครองอำนาจของรัฐบาล คสช. ในระยะเปลี่ยนผ่านขั้นที่ 2 ตามโรดแมป ก็ยืดยาวจากปี 2557 มาจนถึงปี 2560 หรือเปลี่ยนจาก 1 ปี กลายเป็น 3 ปี และยังไม่มีวี่แววจะ ‘ปลดล็อก’ ทางการเมือง หรือส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะเข้าสู่การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แต่อย่างใด

 

 

คดีพลิก! ยิ่งลักษณ์ ‘เบี้ยว’ ไม่ไปฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว

49 วัน คือ จำนวนตัวเลขที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้หาเสียงนำพาตนเองเข้าสู่การเมือง และได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ ‘นักการเมือง’ หลายคนหมายปอง

 

2 ปี 275 วัน คือช่วงเวลาที่เธอนั่งเก้าอี้นายกฯ และบริหารราชการแผ่นดินภายใต้แรงเสียดทานทางการเมืองที่ถาโถมอยู่ตลอดเวลาจากมรสุมการเมืองลูกใหญ่ที่ซัดให้เธอต้องตกเก้าอี้ เมื่อถูกถอนจากตำแหน่งในข้อหาย้ายข้าราชการโดยไม่ชอบ ตามมาด้วยการรัฐประหารโดย คสช. เพื่อควบคุมอำนาจการบริหารประเทศจากรัฐบาลของเธอในขณะนั้น

 

2 ปี 4 เดือน คือจำนวนเวลาในการต่อสู้คดีโครงการรับจำนำข้าวที่เธอตกเป็นจำเลยฐานปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต ซึ่งสิ้นสุดกระบวนการทั้งหมด และศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม

 

แต่แล้วคดีก็พลิก เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม เธอไม่ปรากฏกายให้เห็นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังเคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะเดินทางมาในวันดังกล่าว ความประหลาดใจของสื่อมวลชนระคนกับความรู้สึกของมวลชนที่มาจำนวนมากในวันนั้นไม่ต่างกัน

 

เมื่อเข้าสู่ห้องพิจารณาคดี ผู้พิพากษาซึ่งอยู่บนบัลลังก์อ่านรายงานกระบวนพิจารณาคดีให้ออกหมายจับเธอ โดยไม่เชื่อว่าป่วยเป็น ‘น้ำในหู’ จริง มีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับและเลื่อนไปฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 กันยายน ซึ่งคำพิพากษาให้ผิดตามฟ้อง และจำคุกเธอเป็นเวลา 5 ปี

 

นับแต่การไม่ปรากฏตัวครั้งนั้น ก็ไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวจากคนใกล้ชิดหรือทนายความ มีแต่ความสงสัยว่า เธอไปอยู่ที่ไหน มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร หลายคนบอกว่าเธอจะไม่เบี้ยว เพราะเธอยืนยันที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่ หรือเธออาจมองว่าชะตากรรมที่เธอได้รับมาจากความบิดเบี้ยวของกระบวนการ แม้วันนี้เธอจะมีชะตากรรมคล้ายคลึงพี่ชาย และย่างเข้าเดือนที่ 4 แล้ว ที่ทุกคนยังหาคำตอบว่า ‘ยิ่งลักษณ์ Where are you?’

 

การเดินบนสนามการเมืองของยิ่งลักษณ์ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่ได้รับน่าจะมีทั้งดอกไม้ช่อใหญ่และก้อนหินสารพัดที่หยิบยื่นให้อยู่ตลอดมา

 

 

ยังไม่ ‘ปลดล็อก’ กฎหมาย เปิดพื้นที่การเมืองให้ประชาชน

เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองยังไม่สามารถเดินหน้ารวมตัวทำกิจกรรมทางการเมืองได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน และคำสั่ง คสช. ที่ 57/2557 ที่ห้ามพรรคการเมืองประชุมและดำเนินกิจกรรมทางการเมือง แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และกำหนดให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้

 

ในแง่ของพรรคการเมืองก็ยังเป็นปัญหาเฉพาะ เพราะขีดวงจำกัดอยู่ที่การประชุมพรรค และห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งจนถึงวันนี้ สัญญาณ ‘ปลดล็อก’ ยังคงถูกล็อกคาอยู่แบบเดิม

 

แต่ปัญหาของคำสั่ง คสช. ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน มีผลกระทบที่ขีดเส้นใหญ่ไว้ที่ ‘ประชาชน’ กว่า 3 ปีแล้ว (นับรวมประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557) ที่การมีส่วนร่วมทางการเมืองในแง่ของการรวมตัวทำกิจกรรมต่างๆ ยังเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แม้ในหลายครั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จะออกมาพูดว่า ก็เห็นทำกันได้ และ คสช. ก็ไม่เคยไปยุ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะไม่ถูกตีความว่าผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะสภาพบังคับของคำสั่งยังคงมีอยู่

 

ยกตัวอย่าง กรณีที่ 5 นักวิชาการเชียงใหม่เข้ารับทราบข้อหาชุมนุมทางการเมืองคดี ‘เวทีวิชาการ ไม่ใช่ค่ายทหาร’ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2560

 

ไม่นับรวมกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแกล้งฟ้องชาวบ้าน ที่ลุกขึ้นมารวมตัวต่อสู้ในการพิทักษ์สิทธิต่างๆ ของชุมชน การแกล้งฟ้องชาวบ้านเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต และทำให้กฎหมายกลับด้าน กลายเป็นคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิต้องตกเป็นจำเลย

 

รวมทั้งยังมีการใช้เครื่องมือกฎหมายอื่นๆ เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชน เช่น พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง พ.ร.บ. ความมั่นคงไซเบอร์ กับร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ฝ่ายรัฐพยายามผลักดันมาโดยตลอด

 

 

ขณะที่การรวมตัวเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ส่วนที่หดแคบลงไปพร้อมๆ กันก็คือพื้นที่ทางความคิด การวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ปกครองหรือการบริหารบ้านเมือง กลายเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย และในหลายกรณีก็ถูกควบคุมตัวด้วยคำสั่งดังกล่าว ซึ่งเปิดช่องให้สามารถควบคุมได้ไม่เกิน 7 วัน เพื่อทำการ ‘ปรับทัศนคติ’ และตลอด 3 ปีก็มี หลายต่อหลายคนที่ต้องเผชิญเหตุการณ์นี้ อย่างกรณีล่าสุดก็คือ ‘มาร์ค พิทบูล’ หรือนายณัชพล สุพัฒนะ ที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ขอความร่วมมือและเชิญตัวไปยังมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) เนื่องจากการวิจารณ์ผ่านทางเฟซบุ๊ก

 

จากข้อมูลที่ไอลอว์รวบรวมไว้จนถึงปัจจุบัน (10 กรกฎาคม 2560) พบว่า มีไม่น้อยกว่า 157 ครั้ง ที่เจ้าหน้าที่เข้ามาปิดกั้นหรือแทรกแซงกิจกรรมสาธารณะต่างๆ โดยแต่ละครั้งเจ้าหน้าที่จะใช้มาตรการในระดับต่างๆ กันไป ตั้งแต่การสั่งไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรมด้วยช่องทางโทรศัพท์ การเข้ามาที่สถานที่จัดงานเพื่อกดดันให้เจ้าของสถานที่งดจัดกิจกรรม หรืออนุญาตให้จัด แต่ตั้งเงื่อนไขต่างๆ โดยอ้างข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

คำสั่งหรือประกาศเหล่านี้ได้ถูกรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 279 รับรองไว้ โดยวางหลักการให้คําสั่งและการกระทําของ คสช. ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศหรือคําสั่ง ให้มีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป การยกเลิก การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศหรือคําสั่งดังกล่าว ให้กระทําเป็นพระราชบัญญัติ

 

ดังนั้น ประกาศและคำสั่ง คสช. อย่างน้อย 500 ฉบับ จะยังมีผลบังคับใช้โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญต่อไป โดยไม่ต้องพิจารณาว่า คสช. จะยังอยู่ในอำนาจหรือไม่ เว้นเสียแต่ว่ามีการออกพระราชบัญญัติมาแก้ไขหรือยกเลิกเสียก่อน

 

 

ความยุติธรรมยังถูกตั้งคำถาม

กรณีการเสียชีวิตของ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม โดยครอบครัวได้นำศพไปชันสูตรก่อนทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่พบว่าอวัยวะภายในและสมองสูญหาย

 

ประเด็นนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง เพราะมีหลายเรื่องที่สร้างความคาใจให้กับทั้งครอบครัวผู้เสียชีวิตและสังคม กลายเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญที่ทำให้สังคมวงกว้างหันมาตั้งคำถามและอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับกรณีนี้

 

 

ระบบธรรมเนียมทหาร หรือสิ่งที่เรียกว่าการธำรงวินัยของกองทัพ ได้เดินมาสู่จุดที่ถูกท้าทายทางความคิดและตั้งคำถามจากสังคมอีกครั้งว่า ‘ความยุติธรรม’ ในการใช้ชีวิตและร่างกายเหล่านี้ สุดท้ายแล้วคุณค่าที่แท้จริงของการฝึกความอดทนลักษณะนี้เป็นไปเพื่อสิ่งใดกันแน่ หากว่านัยหนึ่งคือการสละชีพเพื่อชาติ ตามปณิธาน แล้วนัยหนึ่งของเหตุการณ์การเสียชีวิตของบุคคลที่อยู่ในระบบนี้ที่ปรากฏเป็นข่าวในหลายครั้ง เช่น เสียชีวิตจากการฝึก จากการถูกลงโทษอย่างหนัก หรือวิธีการแปลกพิสดารในสายตาคนทั่วไป สิ่งนี้เรียกว่ายุติธรรมต่อชีวิตพวกเขาจริงหรือไม่?

 

กระบวนการแสวงหาความจริงที่ถูกตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการของกองทัพ กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนคาใจถึงการทำหน้าที่ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในแวดวงลายพรางเอง และทหารก็เป็นผู้แสวงหาคำตอบเอง ขณะที่ผู้นำอย่าง พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว. กลาโหม ได้ตอบคำถามสื่ออย่างดุดันว่า “กรณีนี้เด็กเสียชีวิต เพราะไม่สบาย ถ้าให้ตนเลือกตายได้ก็ขอตายในสนามรบ”

 

 

อีกเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยในปีนี้ก็คือ กรณีทายาทตระกูลดัง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดง ที่ขับรถพุ่งชน ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสายตรวจ สน.ทองหล่อ จนเสียชีวิต

 

ปมสำคัญคือความล่าช้าในการติดตามตัว ‘บอส’ มาดำเนินคดี กระทั่งล่วงเลยเข้าสู่ปีที่ 5 ในปีนี้ เป็นเหตุให้บางคดีหมดอายุความ แต่ยังเหลือข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งคดีนี้จะสิ้นสุดอายุความในปี 2570 สุดท้ายบอสก็ไม่มารายงานตัวเพื่อส่งฟ้อง จนนำไปสู่การออกหมายจับและตั้งคำถามต่อการทำหน้าที่ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดว่า เหตุใดผลลัพธ์จึงเป็นเช่นนี้ ถึงขนาดสื่อระดับโลกให้ความสนใจเกาะติดรายงานข่าว

 

ส่งผลต่อคำถามที่ตามมาในการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่รวย จน ในกระบวนการยุติธรรม สังคมออนไลน์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างมากว่า ‘ความบิดเบี้ยว’ มาจากเหตุผลที่สังคมไทยต้องเผชิญต่อวาทกรรมคนรวยรอด คนจนติดคุก และเคสของบอสกลายเป็นข้อเปรียบเทียบชั้นต้น ซึ่งนำไปสู่คำถามคาใจที่ไม่เคยสลัดภาพเหล่านี้ให้หลุดหายไปจากความบิดเบี้ยวที่ต้องยอมรับว่ามีอยู่จริงในสังคมไทย

 

 

กรณี ไผ่ ดาวดิน หรือ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ซึ่งถูกอัยการจังหวัดขอนแก่นยื่นฟ้อง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ กรณีแชร์บทความจากบีบีซีไทยไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัว และทหารเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ

 

ปรากฏการณ์นี้ถูกตั้งคำถามอย่างยิ่งยวดแบบพื้นฐานว่า ทำไมคนแชร์อีก 3,000 และเจ้าของบทความไม่โดนฟ้อง (ซึ่งไม่เกี่ยวว่าบทความนั้นจะผิดหรือถูกกฎหมายอย่างใดในแง่นี้)

 

ขณะที่เหตุผลที่ทำให้ไผ่ถูกถอนประกันมีการยกขึ้นอ้างว่า การโพสต์เฟซบุ๊กหลังได้รับการปล่อยชั่วคราวเข้าข่ายการเยาะเย้ยอำนาจรัฐ จึงกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ว่า หากมีผู้ใดรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ภายใต้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญได้หรือไม่?

 

ขณะที่ประเด็นที่ไผ่ไม่ได้รับการประกันตัวตามสิทธิของกฎหมาย แม้จะได้พยายามยื่นประกันหลายครั้ง และเหตุผลก็คือคดีนี้มีอัตราโทษสูง เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวกับความมั่นคง กระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชน

 

แม้วันนี้ไผ่จะยอมรับสารภาพและถูกตัดสินจำคุกแล้ว แต่ระหว่างทางของคดีก็มีคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมและถูกจับตาจากหลายองค์กรระหว่างประเทศด้วย

 

 

กรณีของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรข่าวชื่อดังที่ต้องต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม จากกรณีถูกกล่าวหายักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ ‘คุยคุ้ยข่าว’ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. เป็นเงินกว่า 138 ล้านบาท

พร้อมๆ กับคำถามที่กระตุกหาต่อม ‘จริยธรรม’ ของคนทำงานในวงการนี้ ได้ถูกหยิบยกมาสู่การถกเถียงอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การกดดัน และเรียกร้องให้สรยุทธทบทวนบทบาทหน้าจอของตนเอง และในเวลาต่อมาเขาก็ประกาศยุติการทำหน้าที่

 

สรยุทธเดินหน้าต่อสู้ในกระบวนการ ไปพร้อมๆ กับต้องต่อสู้กับฝ่ายที่เรียกว่าตนเองเป็น ‘สื่อน้ำดี’ ที่เรียกร้องหาความรับผิดชอบจากเขา แต่ทว่าในทางกลับกัน ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตถึงความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นในเคสอื่นๆ ต่อวงการนี้อยู่ไม่น้อย ตั้งแต่กรณีสื่อออนไลน์ขยันลอกข่าวสำนักอื่น ผู้บริหารสื่อมีข่าวฉาวเรื่องความสัมพันธ์

ในที่สุด เดือนสิงหาคมของปีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุกสรยุทธเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กว่าจะได้ไปประกันก็ต้องไปใช้ชีวิตในเรือนจำอยู่หลายวันทีเดียว

 

 

อีกกรณีที่ร้อนแรงส่งท้ายปีก็คือ ภาพยกมือบังแดดของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว. กลาโหม ในวันถ่ายภาพหมู่ของ ครม. ประยุทธ์ 5 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ทว่าโฟกัสของภาพวันนั้นกลับให้ความสนใจอยู่ที่นาฬิกาข้อมือหรู ราคาหลายสิบล้าน และแหวนเพชรวงโตส่องประกายแวววับ ซึ่งเป็นเครื่องประดับติดตัวในวันดังกล่าว

นำมาสู่การตรวจสอบทรัพย์สินของ พล.อ. ประวิตร ที่สื่อมวลชนทุกสำนักรายงานว่า นาฬิกาหรูและแหวนเพชร ไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และ ต่อมาในการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประวิตร ก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ได้ และไม่หนักใจ เพราะไม่เคยมีเรื่องทุจริต

ปฏิกิริยาต่อมาจึงจับจ้องไปที่ฝ่ายตรวจสอบ ซึ่งก็คือ ป.ป.ช. เมื่อสื่อได้เผยความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กับ พล.อ. ประวิตร ในฐานะนายและลูกน้องเก่า เมื่อครั้งเป็นรองเลขาธิการนายกฯ ซึ่งประธาน ป.ป.ช. ได้ให้คำมั่นว่าไม่หนักใจ และหากมีส่วนได้เสียก็ต้องถอนตัว

2 นัยยะ ที่ถูกจับจ้องและเกรงว่าจะบิดเบี้ยวก็คือ รัฐบาลนี้ประกาศให้ความโปร่งใสเป็นวาระสำคัญ และมักตอกย้ำว่าการกำจัดคอร์รัปชันคือเป้าหมายที่ต้องจัดการเด็ดขาด แต่เมื่อคนในรัฐบาลตกเป็นข้อสงสัยเอง จึงต้องเร่งทำความจริงให้กระจ่าง ขณะเดียวกัน กระบวนการตรวจสอบที่หลายฝ่ายกังวลว่าเป็นคนกันเอง จึงเป็นเรื่องที่ต้องคลายปมคาใจนี้ให้ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมายด้วย มิเช่นนั้นอาจถูกมองว่า ‘บิดเบี้ยว’ ได้

 

 

กระบวนการปรองดองที่ยังไม่รู้คำตอบ

THE STANDARD เมื่อครั้งเริ่มต้นเปิดตัวสำนักข่าว รายงานชิ้นแรกต่อบริบทการเมืองไทยในปี 2560 ก็คือกระบวนการสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง ที่ฝ่ายรัฐเป็นผู้ริเริ่ม พร้อมๆ กับคำถามที่ว่า เหตุใด ‘ทหาร’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของคู่ขัดแย้งจึงอาสาเป็นคนกลางในการเดินหน้าทำเรื่องนี้ ฝ่ายที่รู้สึกเช่นนั้นจะไม่ปล่อยมือตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยหรือเปล่า ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย?

 

เมื่อสังเคราะห์ความเห็นหลายฝ่ายในเวลานั้น ทุกฝ่ายมองว่าความเป็นกลางไม่มีอยู่จริงและไม่มีใครเป็นกลาง 100% พล.ท. คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ตัวแทนจากรัฐบาลให้เหตุผลว่า ทหารต้องทำหน้าที่เป็นหลักประกันให้กับสังคม จตุพร พรหมพันธุ์ มองว่า ที่ผ่านมาถกเถียงเรื่องกลาง-ไม่กลางมาเยอะแล้ว หน้าที่คือให้ความร่วมมือ ด้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชี้ว่า เลยจุดที่จะเถียงกันเรื่องคนกลางแล้ว ต้องมองที่สาระเป็นหลัก แต่แม่น้องเกด ‘พะเยาว์ อัคฮาด’ กลับคิดว่า “กองทัพไม่ควรเข้ามาเป็นคนกลาง”

 

ทำให้ความแตกต่างสำคัญของการปรองดองครั้งนี้เมื่อเทียบกับครั้งที่ผ่านๆ มาก็คือรัฐได้เข้ามาเป็น ‘คนกลาง’ ด้วยตัวเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่พยายามหาคนจากภายนอกมาทำหน้าที่

 

 

ระหว่างทางของกระบวนการ คำถามที่ดูเหมือนบางฝ่ายจะมองว่าดูบิดเบี้ยวเหล่านั้น ก็เดินหน้ามาสู่ครึ่งทางแล้ว ขณะที่หนึ่งในผู้ร่วมในกระบวนการอย่าง จตุพร ประธาน นปช. กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำจากคดีหมิ่นประมาทอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์

 

แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายแสดงความเห็นตรงกันคือ ‘ปรองดอง’ ควรจะเกิดขึ้นเพื่อหาคำตอบและทางออกในการลดความขัดแย้ง ไม่หวนคืนสู่วิกฤตดังที่ผ่านมา แม้ในรายละเอียดของกระบวนการยังไม่เป็นที่ยอมรับต่อบางฝ่าย

 

ฉะนั้นความพยายามในการจะสร้างความสามัคคีกลมเกลียวที่กำลังเกิดขึ้นอาจเป็นเพียงเรื่องหลักการหรือไม่ เพราะในนิยามความหมายและเงื่อนไขของหลายกลุ่มยังคงตั้งเอาไว้ในฐานที่มั่นของตัวเอง แล้วจะหาตรงกลางของทางออกอย่างไร ที่จะเป็นที่ยอมรับ

 

 

แล้วในที่สุดสิ่งที่ถูกเรียกว่า สัญญาประชาคม ก็ถูกเข็นออกมามีจำนวน 10 ข้อ ซึ่ง พล.ท. คงชีพ อธิบายว่า มาจากการเปิดกว้างรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชน และกำหนดเป็นความตกลงของการอยู่ร่วมกัน เพื่อมิให้เกิดเงื่อนไขสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งที่ขยายไปสู่ความรุนแรงในอนาคต

 

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงแค่พิธีกรรมที่ไม่ได้หวังรับฟังความคิดเห็นที่แท้จริง หรือไม่ก็ฝ่ายการเมืองที่ไม่มีทางเลือกอื่น หากต้องการเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง และตนเองไม่ต้องตกเป็นฝ่ายขัดขวางกระบวนการนี้ก็จำเป็นต้องเลือกและยอมรับ

 

รูปธรรมในวันนี้คือการเดินหน้านำสัญญาประชาคมไปสู่การรับรู้ของประชาชน ซึ่งมีมาสคอตอย่าง ‘น้องเกี่ยวก้อย’ เป็นตัวชูโรง แต่ไม่ใช่รูปธรรมที่เป็นคำตอบชัดเจนนักว่าท้ายที่สุดจะสามารถปรองดองได้แบบไหน

 

หรือว่าสิ่งที่เรียกว่าปรองดองคือความพยายามจะจับคนจากทุกกลุ่มมาร่วมแบบมัดมือชก เหมือนที่แม่น้องเกดรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่การปรองดอง แต่เป็นการบังคับให้ปรองดอง”

 

 

ปีแห่งคนรุ่นใหม่ หัวใจว้าวุ่น

‘คนรุ่นใหม่’ เป็นกลุ่มคนที่พูดถึงกันอยู่ตลอดเวลา ปี 2017 ดูจะหนักหน่วงมากที่สุด ตั้งแต่การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิต นักศึกษา ปัญญาชนคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่ออกมายืนสู้กับอุดมการณ์ของพวกเขา และพบกับชะตากรรมที่ดูไม่แตกต่างกัน เพราะหลายคนมีคดีความติดตัวและยังต้องเผชิญต่อสภาพการถูกสอดส่องที่ดูไม่ใช่วิธีการปกติในยามมีสิทธิเสรีภาพแบบประชาธิปไตย

 

อนาคตของประเทศมักถูกผู้ใหญ่พูดถึงว่า ต้องฝากไว้ที่คนรุ่นใหม่ วาทกรรมฮิตตลอดกาล คือ เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า แต่วิธีปฏิบัติหรือโอกาสของเด็กวันนี้ที่ผู้ใหญ่ปฏิบัติต่อพวกเขา ต้องพิจารณาอย่าถี่ถ้วนว่าได้ส่งต่ออนาคตแบบไหนให้

 

ฉับพลันที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จากผู้ใหญ่ถูกประกาศเป็นวาระสำคัญของชาติ ซึ่งวางกรอบครอบคลุมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560-2579 ภายใต้วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีเป้าหมายให้อีก 20 ปีข้างหน้า ไทยต้องหลุดพ้นจากประเทศติดกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ”

 

เสียงวิจารณ์ต่อ ‘ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี’ ก็ดังอื้ออึงไปทั่วทั้งจากนักวิชาการและภาคประชาชน ซึ่งสรุปโดยรวมทุกคนเห็นไปในทางเดียวกันว่า การกำหนดยุทธศาสตร์โดยคนรุ่นนี้ให้กับคนรุ่นหลังไปกว่า 20 ปี จะถูกต้องเหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงในปัจจุบันหรือไม่

 

และเสียงไถ่ถามก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นความหวังดีอย่างบริสุทธิ์ใจจากผู้ใหญ่ เป็นความฝันของคนแก่ที่อยากเห็นประเทศไทยในอนาคต หรือเป็นเพียงเครื่องมือสืบทอดอำนาจคอยควบคุมจำกัดบทบาทของรัฐบาลในอนาคต

 

 

คนการเมืองที่คลุกคลีอยู่กับแวดวงนี้มาหลายสิบปีอย่าง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็มองว่า “ไม่ใช่ยุคสมัยที่จะไปคิดให้กับคนในอนาคต เราคือคนของความสำเร็จในอดีต แต่ความสำเร็จในอนาคตมันคือคนรุ่นใหม่ เราไม่ใช่คนของอนาคต แต่เรากำลังเอาคนในอดีตมาคิดให้กับคนในอนาคต แค่เทคโนโลยีเราก็ไม่รู้จักแล้ว และนี่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้ประเทศเจริญยาก เป็นห่วงจริงๆ ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีอคติเลย”

 

แม้ พล.อ. ประยุทธ์ จะเคยพูดว่า การปฏิรูปประเทศจำเป็นที่จะต้องฟังคนรุ่นใหม่ “เราต้องฟังคนรุ่นใหม่ด้วย โดยช่องทางการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิดเห็นนั้น จะต้องเปิดกว้างและทั่วถึงทั้งกลไกปกติของภาครัฐ ช่องทางการสื่อสารต่างๆ” แล้วรูปธรรมสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?

 

พล.ท. คงชีพ เคยให้สัมภาษณ์และมองว่า คนรุ่นใหม่เป็นเหมือนผ้าขาว วันนี้เขาจะต้องไม่ถูกครอบงำทางความคิด เขาต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง

 

อนาคตที่วางไว้ 20 ปี เพื่อส่งมอบให้คนรุ่นใหม่ ได้สร้างความว้าวุ่นให้กับพวกเขาแล้ว แต่ถึงอย่างไร ‘อนาคต’ ก็หนีไม่พ้นคนกลุ่มนี้อยู่ดี จึงเป็นเรื่องของ ‘อนาคต’ อีกเหมือนกันว่ามันจะเดินไปได้ไกลหรือหยุดสะดุดที่ระหว่างทางหรือไม่

 

สุดท้ายแล้ว แม้จะดูเหมือน ‘การเมือง’ มีแต่ความบิดเบี้ยวในปีที่ผ่านมา แต่เราทุกคนจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้ด้วยตัวเองอีกครั้งว่า เรามองสภาพสังคมในปี 2560 ที่ตัวเองใช้ชีวิตในมิติการเมืองอย่างไร

 

หากยังมีความหวังหรืออยากลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อแก้ไขและทำให้ดีขึ้น ‘ความหวัง’ จะยังมีอยู่ในสังคมนี้เสมอ

 

มันไม่เคยถูกทำให้หายไปสำหรับคนที่มีความเชื่อมั่นและศรัทธา

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising