“It’s a land not just a cafe.”
The Wood Land เป็นป่าใจกลางกรุงย่านอ่อนนุชที่ซ่อนอยู่หลังกำแพงอิฐสีเทา เมื่อเดินเข้าไปแล้วจะพบกับทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างขวาง ต้นไม้ใหญ่หลายต้น ลมธรรมชาติที่พัดโชยมา และพื้นที่ให้นั่งเล่น นี่คือจุดหมายปลายทางใหม่ของชาวกรุงเทพฯ ที่ต้องมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ
ก่อนจะมาเป็นร้าน The Wood Land ทางร้านมีไร่กาแฟที่เชียงดาว มีร้านกาแฟ Coffeeology และ Coffee 101 ทำให้ทางร้านรู้ว่าตอนนี้ผู้คนต้องการอะไรที่มากกว่ากาแฟ ไม่ใช่แค่การมาซื้อกาแฟแล้วนั่งในร้าน แต่ผู้คนต้องการประสบการณ์ที่มากกว่านั้น ทางร้านจึงผุดไอเดียว่าอยากทำร้านที่เป็นมากกว่าคาเฟ่ เป็นทั้งจุดหมายปลายทางและที่ให้คนมารวมตัวกัน
บรรยากาศร้าน
จุดหมายปลายทางที่ทางร้านอยากทำคือความเป็นธรรมชาติ เพราะทุกคนล้วนเบื่อความเป็นเมือง จนร้านได้เจอกับพื้นที่ว่างในซอยสุขุมวิท 52 ที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น ก็ตัดสินใจนำมาทำเป็นป่าในเมือง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่หรือรั้วที่เป็นไม้เก่าเอามาจากที่ต่างๆ และเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้เศษไม้จากการผลิตของโรงงานมาเรียงเป็นแพตเทิร์นและทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ขึ้นมา หรือจะไม้หมอนรถไฟที่เอามาทำเป็นเคาน์เตอร์ ทางร้านเน้นใช้ของเหลือจากไม้ให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด
บรรยากาศร้าน
ความพิเศษของป่าในกรุงนี้ คือการตั้งใจทำให้ที่นี่เป็นป่าจริงๆ ด้วยการถมที่ไล่ระดับเป็นเนิน ดังนั้นเมื่อคุณผ่านประตูอิฐเข้ามา คุณจะมองเห็นทุกสิ่งในป่าในกรุงแห่งนี้ในคราวเดียว ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กด้านหน้าที่เป็นจุดสั่งกาแฟ หรือบ้านหลังเล็กหลังที่สองที่รวบรวมขนมเอาไว้ โซนที่นั่งในร่มตรงกลางร้าน เคาน์เตอร์ไม้ และผู้คนที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่บนพื้นหญ้า คุณสามารถวางแผนในใจได้ในทันทีว่าจะแวะตรงไหนก่อนหลัง และแม้จะเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ใหญ่ขนาดร้านที่ต่างจังหวัด แต่ The Wood Land ก็ทำได้ดีมากทีเดียวสำหรับการจำลองป่าให้มาอยู่กลางกรุงแบบนี้
ขนมและเครื่องดื่มของทางร้าน
Sparkling Cold Brew (150 บาท) และ Iced Cappuccino (130 บาท)
Edelweiss Green Tea (120 บาท)
กาแฟในร้าน ทางร้านใช้เป็น Woodland Blend เลือกใช้เมล็ดไทยจากไร่ของตัวเอง ผสมเมล็ดสุมาตราให้มีความเอิร์ธเหมาะกับธีมของร้านที่เป็นป่าและไม้ ผสมเมล็ดกาแฟบราซิลไม่ให้หนักจนเกินไป ดื่มง่าย เพราะเมล็ดไทยและเมล็ดบราซิลเป็นเมล็ดที่เข้ากันและรสชาติถูกปากคนไทย แต่ถ้าชอบเทสต์โน้ตที่ค่อนข้างฟรุตตี้หน่อย ทางร้านก็มี Embassy Blend ที่เป็นเมล็ดกัวเตมาลา เมล็ดเอธิโอเปีย และเมล็ดลาว ให้เลือกสำหรับวันที่อากาศร้อน และอยากได้เครื่องดื่มที่สดชื่น
เมนูกาแฟก็มีตั้งแต่กาแฟพื้นฐานอย่าง Iced Americano (130 บาท) ที่สามารถเลือกเมล็ดกาแฟได้ทั้ง Woodland Blend ที่รสชาติออกทางเอิร์ธ และ Embassy Blend ที่สดชื่นและรสชาติไปในทางฟรุตตี้ หรือจะเป็น Iced Cappuccino (130 บาท) ของทางร้านจะใช้นมที่เป็นสูตรพิเศษ ผ่านการปรุงเล็กน้อยเพื่อให้มีความมันและหอมนวลขึ้น และพิเศษขึ้นหน่อยด้วย Sparkling Cold Brew (150 บาท) กาแฟสกัดเย็นของทางร้านที่เติมสปาร์กลิงให้สดชื่น ใส่ส้มลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติเปรี้ยวหวาน ช่วยตัดความขมของกาแฟ เข้าถึงคนได้ง่าย ใครมาสั่งก็ชื่นชอบเพราะดับร้อนได้ดี นอกเหนือจากเมนูกาแฟก็มี Edelweiss Green Tea (120 บาท) ชาเขียวที่เพิ่มรสชาติของเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ หวานเปรี้ยวลงตัว เข้ากับชาได้ดี
Key Lime Cheese Pie Ice Cream (70 บาท)
Salted Caramel Macadamia Banana Bundt Cake (120 บาท) และ Egg Benedict Croffle with Bacon (180 บาท)
เมนูขนมหวานของทางร้านนั้นเราอยากแนะนำ เพราะทางร้านเลือกสรรร้านที่อบขนมส่งให้แบบพิถีพิถัน และสร้างสรรค์เมนูออกมาให้แปลกใหม่ที่สุด ทำให้ได้ขนมหวานที่รสชาติไม่เหมือนที่ไหน เริ่มที่ไอศกรีมเย็นๆ เหมาะกับอากาศของร้านกลางแจ้ง Key Lime Cheese Pie Ice Cream (70 บาท) ไอศกรีมรสพิเศษที่ทางร้านได้ Lyke & Lia ร้านไอศกรีมคราฟต์จากเชียงใหม่มาสร้างสรรค์รสชาติให้ เป็นไอศกรีมรสคีย์ไลม์สดชื่น มีความหวานหอมลงตัวของชีสพาย และมีครัมเบิลกรุบกรอบโรยเพิ่มเท็กซ์เจอร์ นอกจากนี้ยังมีรส Corn Cheddar Cheese ที่เป็นข้าวโพดหวานและเชดดาร์ชีส กับ Hokkaido Milk Pretzel ที่เป็นรสนมและเกล็ดเพรทเซลอีกด้วย โดยทางร้านบอกว่าไอศกรีมในร้านอยากให้เป็นรสชาติของผัก ผลไม้ และชีส มีความเป็นฟาร์ม ซึ่งก็ทำออกมาได้ดี ส่วนเค้กที่ทางร้านแนะนำคือ Salted Caramel Macadamia Banana Bundt Cake (120 บาท) โดยปกติบันด์เค้กจะเป็นเค้กก้อนใหญ่ ที่ถ้าอยากกินจะต้องรวมกันหลายคนเพื่อสั่ง ทางร้านเข้าใจลูกค้าดีว่าบางคนก็อยากกินชิ้นเล็กๆ จึงกลายเป็นเมนูนี้ออกมา โดยได้ร้าน Bake in Yard มาช่วยสร้างสรรค์เมนูให้ แต่ปัญหาของการทำบันด์เค้กขนาดเล็กคือเนื้อเค้กจะค่อนข้างแห้ง ทางร้านจะใส่ซอลต์คาราเมลลงไป เมื่อวอร์มเค้กแล้วซอลต์คาราเมลจะละลายลงมา ทำให้เนื้อเค้กฉ่ำขึ้น เมื่อกินกับแมคคาเดเมียด้านบนจะได้เท็กซ์เจอร์นุ่มของเค้กตัดกับเท็กซ์เจอร์กรอบของถั่ว เป็นขนมที่เข้ากับเครื่องดื่มในร้านได้ทุกเมนูเลย
Katsu Curry Rice (180 บาท)
นอกจากเมนูกาแฟและขนมแล้ว ทางร้านยังมีเมนูอาหารสำหรับใครก็ตามที่หิวอะไรเป็นมื้อเลยอย่าง Egg Benedict Croffle with Bacon (180 บาท) โดยปกติแล้วเมนูเอ้กเบเนดิกต์จะมีฐานเป็นขนมปังปิ้ง แต่ทางร้านหยิบเอาอาหารยอดฮิตอย่างครอฟเฟิลมาทำเป็นฐาน ตัวเนยที่อยู่ในครอฟเฟิลให้ความฉ่ำได้ดี จึงเข้ากับไข่ด้านบนและซอสฮอลแลนเดซแบบลงตัว หรือจะเป็นเมนูข้าวอย่าง Katsu Curry Rice (180 บาท) ข้าวแกงกะหรี่หมูทอดที่ร้านลงมือทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่น้ำแกงที่ใช้เป็นเบสหมู และหมูทงคัตสึที่ทอดมาจนกรอบ และเป็นสีเหลืองทองที่ชิ้นใหญ่เกินราคาไปมาก รับรองว่าสั่งเมนูนี้แล้วอิ่มแน่นอน
The Wood Land
Open: วันพุธ-จันทร์ เวลา 08.30-21.00 น.
Address: ซอยสุขุมวิท 52 กรุงเทพฯ
Budget: 200-300 บาท
Contact: 06 1391 1754
Website: www.facebook.com/thewoodlandofficial
Map: https://goo.gl/maps/5XRALshapUnzaZ7V7