บริเวณเดิมของร้านอาหารวังหิ่งห้อยตอนนี้ได้กลายเป็น The Beast ไฟน์ไดนิ่งที่นำเสนอ The Whole Beef Experience หรือประสบการณ์ของการรับประทานเนื้อทั้งตัว ที่มักเรียกกันว่า Nose-to-tail เนื่องจากเป็นการทำอาหารด้วยองค์ประกอบแทบทุกส่วนของวัวตั้งแต่หัวจรดหาง และมีเนื้อหลายประเภทจากทั่วโลกให้เหล่าคนรักเนื้อลิ้มลอง
โดยผู้อยู่เบื้องหลังไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ เชฟอ๊อฟ-ณัฐวุฒิ ธรรมพันธ์ุ ผู้ชนะเลิศการแข่งขัน The Next Iron Chef Thailand 2019 ที่มาสร้างสรรค์และรังสรรค์ The Whole Beef Experience ที่สัมผัสได้ทั้งรูปแบบเทสติ้งเมนูหรืออะลาคาร์ต นำเสนอความหลากหลายของเนื้อและรูปแบบการทำอาหารด้วยเนื้อจากหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็นบาหลี ปากีสถาน หรืออาหรับ
สำหรับบางคน แค่การได้รับประทานอาหารดีๆ ก็มีความสุขแล้ว จริงอยู่ที่มีร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อหลายแห่ง แต่หากจำกัดวงให้เหลือแค่ไฟน์ไดนิ่งก็น่าจะเหลือเพียงไม่กี่ร้าน เช่นเดียวกับ The Beast ไฟน์ไดนิ่งที่นำเสนอ The Whole Beef Experience หรือประสบการณ์ของการรับประทานเนื้อทั้งตัว ที่มักเรียกกันว่า Nose-to-tail เนื่องจากเป็นการทำอาหารด้วยองค์ประกอบแทบทุกส่วนของวัวตั้งแต่หัวจรดหาง และมีเนื้อหลายประเภทจากทั่วโลกให้เหล่าคนรักเนื้อลิ้มลอง
The Beast ตั้งอยู่ในพื้นที่เดิมของวังหิ่งห้อย บรรยากาศสอดคล้องกับคอนเซปต์ร้านที่นำเสนอความเป็นขั้วตรงข้ามกัน (Contrast) เช่นเดียวกับ Beauty and the Beast สังเกตได้จากคู่สีดำ-แดง และโทนสีไม้และสีเข้มอันเป็นองค์ประกอบของร้าน โดยมีพื้นที่รับประทานอาหารด้านหน้าข้างค็อกเทลบาร์ และห้องมืดด้านในขนาบข้างครัวเปิด ดูเหมือนกำลังรับชมมหรสพที่มีเนื้อเป็นพระเอกของเรื่อง
เชฟอ๊อฟ-ณัฐวุฒิ ธรรมพันธ์ุ ผู้ชนะเลิศการแข่งขัน The Next Iron Chef Thailand 2019 คือผู้สร้างสรรค์และรังสรรค์ The Whole Beef Experience ที่สัมผัสได้ทั้งรูปแบบเทสติ้งเมนูหรืออะลาคาร์ต และในช่วงบรรยากาศเฉลิมฉลองก็มีเทสติ้งเมนู 10 คอร์ส (6,800++ บาท) นำเสนอความหลากหลายของเนื้อและรูปแบบการทำอาหารด้วยเนื้อจากหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็นบาหลี ปากีสถาน หรืออาหรับ
ต้อนรับเข้าสู่ The Whole Beef Experience ด้วยขนมปังบริยอชและเซียบัตต้าทำเอง เนยกระเทียมสมุนไพรแบบหยาบ และเนื้อวากิวบริสเก็ต Omi A5 ที่ผ่านการรมควันจนหอมฉุย และเรียกน้ำย่อยเตรียมพร้อมจานเนื้อถัดไป
ต่อมาเป็นบีฟทาร์ทาร์ Kibbeh Nayyeh ขนมปังอบสอดไส้เนื้อวากิวสับกับสมุนไพรและทับทิม ให้ความสดชื่น เพื่อรับมือกับคอร์สถัดไปซึ่งเป็นสเต๊กเนื้อสไตล์บาหลี Balinese Hanger ที่ปรุงรสด้วยเครื่องเทศรสเผ็ดจัดจ้าน แต่ความอร่อยไม่เป็นสองรองใคร ตามด้วย Ox Heart เชฟนำเสนอหัวใจวัวกินคู่กับชัตนีย์ Bloody Mary
Strawberry Carpaccio สตรอว์เบอร์รีกับเนื้อทาทากิสไลซ์บาง รับประทานคู่กับเฟต้าชีสและพริกเกลือ อีกหนึ่งจานเนื้อที่ให้ความสดช่ืนก่อนถึงเมนคอร์ส
Pocket of A5 ตอร์ติญาข้าวโพดหวานสอดไส้เนื้อริบอายวากิวและซัลซา ส่วน Beef Plate นำเสนอขั้วตรงข้ามอย่างความร้อนและความเย็น โอมิวากิวย่างเสิร์ฟบนจานแช่เย็นจัด และกิมจิผักกาดทั้งใบ ราดด้วยไข่ปลาเทราต์อินฟิวส์ในไวน์แดงที่ช่วยเพิ่มกลิ่นและรสชาติให้กับเนื้อ
ต่อด้วย Ox Tongue on Filo Pillow ลิ้นวัวย่างและไขกระดูกรมควันคาราเมล เสิร์ฟพร้อมยอร์กเชียร์พุดดิ้งและพริกดอง
เชฟอ๊อฟไม่ลืมที่จะเพิ่มเบอร์เกอร์ให้เป็นส่วนหนึ่งของคอร์สด้วย นี่คือเบอร์เกอร์เนื้อขนาดย่อส่วนแต่ไม่ย่อคุณภาพ เพราะใช้เนื้อดรายเอจ 100 วัน ที่ให้กลิ่นและสัมผัสของเนื้อเข้มข้นกว่าการดรายเอจทั่วไป เสิร์ฟพร้อมชีสนมแพะและฟัวกราส์สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งละลายทันทีเมื่อเข้าปาก
หลังจากเบอร์เกอร์เป็นจานเนื้อไพรม์ริบส์ชิ้นใหญ่ราดซอสเนื้อที่เคี่ยวจนรสเข้มข้น เคียงด้วยมันบดที่คลุกเคล้ากระเทียม เกลือ และน้ำมันมะกอก
หลังจากสัมผัสประสบการณ์เนื้อครบทุกคอร์สแล้ว เชฟเตรียมของหวานเป็นลูกแพร์ตุ๋นไวน์ขาวกับน้ำผึ้ง รับประทานคู่กับเฟรนช์วานิลลาซอสและช็อกโกแลตฟัดจ์รสเข้ม ส่งท้ายมื้อด้วย Petit fours พร้อมชาแดงรอยบอสจากแอฟริกา ให้กลิ่นหอมและสัมผัสละมุน เข้ากันได้ดีกับขนมชิ้นเล็ก
Open: อังคาร-อาทิตย์ 18.30-23.30 น.
Address: 149 ถนนริมทางรถไฟสายแปดริ้ว (ใกล้ RCA)
Budget: 6,000-8,000 บาท
Website: www.instagram.com/thebeastbkk/
Map: https://goo.gl/maps/rwGa4KJDgjR1Sqc96